วันที่ 13 ก.พ. 63 ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมคณะทำงานภายใต้กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2563 เผยว่า พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรณ รองนายกรัฐมนตรี มีความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ภัยแล้งที่อาจกระทบต่อพี่น้องประชาชน จึงได้กำชับให้ทุกหน่วยงานบูรณาการทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาและลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นให้น้อยที่สุด
ปัจจุบันกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้มีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) ไปแล้วจำนวน 21 จังหวัด 127 อำเภอ 647 ตำบล โดยมี 6 จังหวัด 36 อำเภอ 208 ตำบล 5,809 หมู่บ้าน ที่เสี่ยงต่อการขาดแคลนน้ำด้านการอุปโภคบริโภคและการเกษตร ประกอบด้วย จ.เพชรบูรณ์ อุทัยธานี กาญจนบุรี นครราชสีมา ชัยภูมิ และบุรีรัมย์ ซึ่งหน่วยงานในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาเบื้องต้น
อาทิ การแจกจ่ายน้ำและมีการหมุนเวียนน้ำกลับมาใช้ใหม่ การสูบน้ำและการขนน้ำสนับสนุนในพื้นที่ที่ขาดแคลน การปรับระบบการใช้น้ำในพื้นที่การเกษตร การซ่อมแซมระบบประปาและขุดบ่อบาดาลเพิ่มเติม รวมทั้งเร่งการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้มาตรการประหยัดน้ำ ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีการวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์อย่างรัดกุมในรายพื้นที่ พร้อมมอบหมายให้หน่วยงานลงพื้นที่เพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาโดยเน้นดำเนินการในเชิงรุก พร้อมเร่งประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจถึงสถานการณ์น้ำและเร่งสร้างจิตสำนึกในการประหยัดน้ำให้กับทุกภาคส่วน
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มีการติดตามความก้าวหน้าแผนงาน/โครงการต่างๆ ที่อยู่ในแผนงานงบกลางในการแก้ไขปัญหาภัยแล้งระยะเร่งด่วน ปี 62/63 จำนวน 2,041 โครงการ ของกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมส่งเสริมปกครองท้องถิ่น กองทัพบก การประปาส่วนภูมิภาค และหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ประกอบด้วย การขุดเจาะบ่อบาดาล การจัดหาแหล่งน้ำผิวดิน การซ่อมแซมระบบประปา การวางท่อน้ำดิบ และการสร้างสถานีสูบน้ำ
ในวันพรุ่งนี้ (14 ก.พ. 63) รองนายกรัฐมนตรี จะมาเป็นประธานการประชุมกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ เพื่อติดตามสถานการณ์การแก้ไขปัญหาภัยแล้ง และเตรียมแผนการจัดหาแหล่งกักเก็บน้ำในช่วงฤดูฝนที่จะมาถึง โดยจะมีการ VDO Conference ไปยังหน่วยงานในพื้นที่รับผิดชอบด้วย เพื่อรับทราบผลการดำเนินงาน ตลอดจนปัญหาอุปสรรคต่างๆ ในการดำเนินงานด้วย
ด้านนายสุพิศ พิทักษ์ธรรม ผู้อำนวยการสำนักเครื่องจักรกล กรมชลประทาน กล่าวว่า ตามที่ ดร.ทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน สั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัดเตรียมความพร้อมเครื่องจักร เครื่องมือ และกำลังคน ให้พร้อมเข้าให้ความช่วยเหลือประชาชนในทุกพื้นที่ตลอดเวลา สำนักเครื่องจักรกล กรมชลประทาน จึงสั่งการให้สำนักเครื่องจักรกลทั่วประเทศ ปฏิบัติตามนโยบายของท่านอธิบดีกรมชลประทานอย่างเคร่งครัด เพื่อช่วยบรรเทาความเดือนร้อนของประชาชนในพื้นที่ต่างๆ
สำนักเครื่องจักรกล ดำเนินการติดตั้งเครื่องสูบน้ำเครื่องยนต์ดีเซล ขนาด 16 x 12 นิ้ว จำนวน 1 เครื่องในพื้นที่ตำบลจันทิมา อำเภอลานกระบือ เพื่อเข้าช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่ขาดแคลนน้ำ โดยทำการสูบน้ำจากคลองชลประทาน ส่งไปยังอ่างเก็บน้ำสำหรับใช้ผลิตน้ำประปาให้กับ อำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร
นอกจากนี้ยังสนับสนุนรถบรรทุกน้ำ ขาด 6,000 ลิตร และรถบรรทุก 10 ล้อ ติดเครน เพื่อนำน้ำไปแจกจ่ายให้กับประชาชนกว่า 70 หลังคาเรือน ในพื้นที่บ้านบุ่งผลำ หมู่ 7 ตำบลน้ำกุ่ม อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก โดยเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคให้แก่ประชาชนในพื้นที่
อีกทั้งได้น้ำเครื่องจักร เครื่องมือ เข้าทำการกำจัดวัชพืชและสิ่งกีดขวางทางน้ำ รวมถึงการขุดลอกคลอง เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการไหลของน้ำได้มากขึ้น เพื่อให้การลำเลียงน้ำไปช่วยสนับสนุนแหล่งน้ำดิบสำหรับผลิตน้ำประปาในพื้นที่ต่างๆ ได้เต็มศักยภาพ
อาทิ บริเวณแม่น้ำน้อย จังหวัดพระนครศีอยุทธยา บริเวณคลองระบายน้ำที่ 10 พื้นที่ตำบลหนองโรง อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี บริเวณคลองระพีพัฒน์แยกใต้ พื้นที่ตำบลศาลาครุ อำเภอหนองเสือ คลอง 13 สาย กลาง พื้นที่ตำบลพืชอุดม อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี บริเวณคลองมหาสวัสดิ์ พื้นที่ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม บริเวณคลองบางเหลง พื้นที่ตำบลท้องลำเจียก อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นต้น
ทั้งนี้ สำนักเครื่องจักรกล กรมชลประทาน ได้นำเครื่องจักร เครื่องมือ และกำลังคน เข้าให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำในทุกพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อบรรเทาความเดือนร้อนของประชาชนในด้านการสนับสนุนน้ำผลิตน้ำประปาเพื่อการอุปโภคบริโภคให้เพียงพอตลอดฤดูแล้งนี้