ช่วงเทศกาลวันหยุดตรุษจีนที่รัฐบาลจีนประกาศเลื่อนเวลาออกมายาวนานกว่าวันหยุดปกติถึง 10 วันเพื่อควบคุมพื้นที่การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ที่เรียกกันอย่างไม่เป็นทางการว่า ไวรัสอู่ฮั่น ขณะนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว และหลายบริษัทก็เริ่มกลับสู่การดำเนินการตามปกติอีกครั้งแล้ววานนี้ (10 ก.พ.) แม้ว่าสถานการณ์การติดเชื้อและจำนวนผู้ป่วย-ผู้เสียชีวิตในจีนจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วรายวัน จนล่าสุด (11 ก.พ. ข้อมูลแถลงโดยคณะกรรมการสาธารณสุขแห่งชาติของจีน) จำนวนผู้เสียชีวิตขยับถึง 1,016 คนแล้ว โดยส่วนใหญ่อยู่ในประเทศจีน และมีจำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกทั้งสิ้น 42,634 คน
อย่างไรก็ตาม แม้เทศกาลวันหยุดอย่างเป็นทางการจะสิ้นสุดลง แต่ความรุนแรงของสถานการณ์แพร่เชื้อยังคงมีอยู่ ทำให้หลายบริษัทที่เป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ เสิ้นเจิ้น และฮ่องกง ยื่นหนังสือแจ้งต่อตลาดฯ ขอหยุดต่อไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งมีทั้งบริษัทในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ธุรกิจด้านท่องเที่ยวและการโรงแรม รวมถึงบริษัทในภาคอุตสาหกรรมการผลิต เช่น โรงถลุงเหล็ก
ธุรกิจบริการซบเซา เลื่อนเปิดอีกยาว
ส่วนใหญ่ของบริษัทที่แจ้งขอขยายระยะเวลาหยุดทำการ เป็นบริษัทที่ตั้งอยู่ในเขตเมืองอู่ฮั่น ซึ่งเป็นเมืองเอกของมณฑลหูเป่ย และเป็นจุดศูนย์กลางการกระจายเชื้อไวรัสดังกล่าว ทั้งยังเป็นเขตเมืองที่มีจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตมากที่สุด ยกตัวอย่าง บริษัท อู่ฮั่น ฮั่นชาง กรุ๊ป ที่ทำธุรกิจศูนย์การค้า ร้านถ่ายรูปงานแต่งงาน และธุรกิจศูนย์ประชุม-สัมมนาในเมืองอู่ฮั่น ได้มีการสั่งปิดการทำงานของทุกๆ แผนกตั้งแต่วันที่ 23 มกราคมที่ผ่านมา และจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีกำหนดเปิดทำการ
ก่อนวันประกาศหยุดดำเนินการชั่วคราวเมื่อเดือนที่ผ่านมา บริษัท อู่ฮั่น ฮั่นชาง กรุ๊ป ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ ประกาศว่าปีที่ผ่านมา (2562) กำไรสุทธิของบริษัทเพิ่มขึ้นประมาณ 50% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่เมื่อขณะนี้บริษัทต้องประสบกับภาวะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จนทำให้ต้องปิดทำการอย่างไม่มีกำหนดในขณะนี้ ก็คาดว่ากำไรสุทธิของปี 2563 คงจะต้องได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้อย่างแน่นอน
ขณะเดียวกัน บริษัท จิ่วเหมาจิว อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้งส์ เชนร้านขายอาหารรายใหญ่ ซึ่งจดทะเบียนในบริษัทหลักทรัพย์ฮ่องกง เปิดเผยว่า บริษัทตัดสินใจเลื่อนเวลาเปิดทำการร้านอาหารในเครือทุกสาขาออกไปอีก(หลังจากที่ปิดชั่วคราวมาตั้งแต่วันที่ 29 มกราคมที่ผ่านมา) ไม่ว่าจะเป็นร้านที่บริษัทลงทุนเองหรือร้านที่เป็นแฟรนไชส์ ทั้งนี้ บริษัทดำเนินการร้านอาหารของตัวเอง 287 สาขา และเป็นร้านแฟรนไชส์ 41 สาขา ตั้งอยู่ใน 15 มณฑลของประเทศจีน ซึ่งรวมถึงเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ที่มีการแพร่ระบาดหนักที่สุด
ที่น่าเป็นห่วงคือห่วงโซ่การผลิตในอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยี ที่ยังไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ บริษัทที่เป็นซัพพลายเออร์ผลิตสินค้ารายหลักให้กับบริษัท แอปเปิ้ล ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ไอโฟน คอมพิวเตอร์ไอแพด และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ต่างพยายามที่จะเปิดโรงงานและเดินเครื่องการผลิตอีกครั้ง แต่ก็ยังมีความวิตกว่าโรงงานซึ่งมีพนักงานจำนวนหลายพันคน รวมทั้งหอพักคนงาน จะเป็นสถานที่ที่สามารถเกิดการแพร่ระบาดและติดเชื้อไวรัสดังกล่าวได้อย่างรวดเร็ว
ปิดกั้นการเดินทาง ขาดแคลนแรงงานในพื้นที่
วันอาทิตย์ที่ผ่านมา (9 ก.พ.) โรงงานของผู้ผลิตโทรศัพท์ไอโฟนบางโรงงานได้รับอนุญาตจากหน่วยงานท้องถิ่นให้สามารถเปิดทำการและเริ่มการผลิตได้อีกครั้งหลังจากที่ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อและตรวจสอบด้านสาธารณสุขแล้ว แต่บางแห่งซึ่งรวมถึงโรงงานผลิตไอโฟนรายใหญ่ที่สุดในจีนที่เมืองเจิ้งโจว มณฑลเหอหนาน ซึ่งเป็นโรงงานของ บริษัท ฟ็อกซ์คอนน์ ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการเนื่องจากยังจำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบด้านสาธารณสุขรายวันเพิ่มเติม ข่าวระบุว่า บริษัทซัพพลายเออร์ผู้ประกอบโทรศัพท์ไอโฟนส่วนใหญ่ตั้งเป้าเปิดโรงงานอีกครั้งในวันนี้ (11 ก.พ.) แต่ปัญหาอีกอย่างนอกเหนือไปจากเรื่องการเข้มงวดตรวจสอบด้านสาธารณสุขก็คือ การขาดแคลนแรงงาน “การจะเปิดโรงงานได้หรือไม่ได้ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ปัญหาคือถ้าเปิดแล้วเราจะมีคนงานมาทำหรือเปล่า” ซัพพลายเออร์รายหนึ่งเผย
ปัญหาดังกล่าวเป็นผลพวงมาจากคำสั่งห้ามการเดินทางและคุมเข้มการเข้า-ออกพื้นที่เมืองที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสในระดับสูง ผู้บริหาร บริษัท คาบิโอ ไบโอเอ็นจิเนียริง ผู้ผลิตเครื่องปรุงอาหารในเมืองอู่ฮั่น ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้และมีที่ตั้งโรงงานในเขตพัฒนาอุตสาหกรรมชานเมืองอู่ฮั่น เปิดเผยว่า การปิดกั้นระบบขนส่งสาธารณะเป็นอุปสรรคทำให้คนงานไม่สามารถเดินทางกลับมาปฏิบัติงานได้ตามปกติ และปัญหาดังกล่าวก็ทำให้โรงงานไม่สามารถเปิดทำการอีกครั้งได้ตามกำหนดเดิมที่วางไว้ นอกจากนี้ หลายบริษัทในมณฑลหูเป่ยยังไม่สามารถกลับมาเปิดดำเนินการตามปกติก่อนเที่ยงคืนของวันที่ 13 ก.พ. ตามหนังสือเวียนของทางการ
แม้แต่โรงงานหรือบริษัทที่อยู่นอกเมืองอู่ฮั่น ก็ยังพลอยได้รับผลกระทบไม่สามารถเปิดทำการแม้วันหยุดจะสิ้นสุดลงแล้วเนื่องจากการปิดกั้นระบบขนส่งสาธารณะทำให้คนงานไม่สามารถเดินทางกลับมาสู่โรงงาน เช่นกรณีของ บริษัท ไชน่า วานาเดียม ไททาโน-แมกนีไทต์ ไมนิ่ง ซึ่งทำเหมืองแร่แมกนีไทต์อยู่ในเมืองเหมาหลิง มณฑลเสฉวน บริษัทไม่สามารถเปิดทำการตามกำหนดเดิม เนื่องจากคนงานของเหมืองส่วนใหญ่เป็นคนจากมณฑลหูเป่ยและเจ้อเจียงที่ถูกปิดกั้นการขนส่งคมนาคมเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส พวกเขาไม่สามารถเดินทางกลับมาทำงานที่เหมืองได้ตามกำหนด
อีกรายในวงการเหมืองคือ บริษัท เฮิ่งสิง โกลด์ ไมนิ่ง จำเป็นต้องเลื่อนการเปิดทำการออกไปจากเดิมที่กำหนดไว้ว่าจะเปิดเหมืองทองคำเมื่อวันที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา เพราะความไม่แน่นอนที่ยังคงมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของนโยบายภาครัฐหรือการขาดแคลนแรงงาน ทั้งนี้ คาดว่าผลกระทบจากความล่าช้านี้จะทำให้ปริมาณการผลิตทองคำของบริษัทในช่วงไตรมาสแรกนี้ลดลง (บริษัทผลิตทองคำ 25,313 ออนซ์ หรือ 787.3 กิโลกรัมในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2562 ส่วนกำลังการผลิตตลอดทั้งปีดังกล่าวอยู่ที่ 85,654 ออนซ์
สื่อของญี่ปุ่นยังรายงานด้วยว่า บริษัทญี่ปุ่นหลายรายที่มีฐานการผลิตในประเทศจีน ยังคงไม่สามารถเปิดดำเนินการได้ตามปกติ เช่น บริษัท บริดจ์สโตน ผู้ผลิตยางรถยนต์ มีโรงงานในเมืองอู่ซี เทียนจิน และอีกหลายเมือง ปรากฏว่าแม้วันหยุดจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่โรงงานบางแห่งของบริษัทยังไม่สามารถเปิดให้บริการได้ตามกำหนดเดิมคือต้นสัปดาห์นี้ แต่ต้องเลื่อนออกไปอีก 1 สัปดาห์เพื่อรอให้คนงานเดินทางกลับมา
ด้านบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ เช่น มาสด้า มอเตอร์ และอีซูซุ มอเตอร์ ก็เลื่อนการเปิดทำการของโรงงานในจีนออกไปเช่นกัน ขณะที่บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประกาศว่า จะยังไม่เปิดโรงงานจนกว่าจะหลังวันที่ 17 ก.พ.ไปแล้ว บางโรงงานผลิตอะไหล่รถยนต์ในเมืองกวางโจว ยอมรับว่าจำเป็นต้องเปิดโรงงานไปก่อน แต่จำนวนคนงานยังไม่กลับเข้าทำงานตามปกติ โดยมีคนงานกลับเข้าทำงานเพียง 60% เท่านั้น
ช่วงเลวร้ายที่สุดอาจผ่านพ้นไปแล้ว
บริษัทวิจัย มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส วิเคราะห์ว่า หลายบริษัทของจีนในอุตสาหกรรมด้านค้าปลีก บริการด้านท่องเที่ยว และบริษัทด้านขนส่ง คือกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดจากมาตรการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสอู่ฮั่น แต่ในส่วนของธุรกิจภาคบริการนั้น เชื่อว่าจุดที่ตกต่ำที่สุดอาจจะผ่านพ้นไปแล้ว
ยกตัวอย่าง บริษัท ไชน่า ฟิล์ม ซึ่งเป็นผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์ และเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ บริษัทมีโรงภาพยนตร์ในเครือ 141 แห่ง และในช่วงเทศกาลวันหยุดตรุษจีนที่ผ่านมา บริษัทตัดสินใจปิดโรงภาพยนตร์ทุกแห่งทั่วประเทศจีนเป็นการชั่วคราว ไม่เพียงบริษัท ไชน่า ฟิล์ม เท่านั้น ผู้ประกอบการเชนโรงภาพยนร์รายอื่นๆ เช่น บริษัท เซี่ยงไฮ้ ฟิล์ม และบริษัท เฮิงเตี้ยน เอนเตอร์เทนเมนท์ ก็ตกอยู่สภาวะเดียวกันและเลือกที่จะปิดให้บริการชั่วคราวเช่นเดียวกัน
บางบริษัทก็ยังไม่ได้รับใบอนุญาตจากทางการให้เปิดบริการได้อีก เช่นกรณีโรงเรียนสอนขับรถยนต์ของ บริษัท ไชน่า โอเรียนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้งส์ ซึ่งมีโรงเรียน 2 แห่ง จนถึงขณะนี้ก็ยังต้องปิดอยู่จนกว่าทางการจะอนุญาตให้เปิดได้ และผู้ประกอบการบางรายที่เปิดดำเนินการแล้ว ก็ยอมรับว่าอนาคตอันใกล้ยังเป็นเรื่องไม่แน่นอน เช่นกรณีของบริษัท หูหนาน วาลิน ไอรอน แอนด์ สตีล ผู้ผลิตเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กกล้า ยอมรับว่า ต้นสัปดาห์มานี้บริษัทเปิดโรงงานแล้ว และการผลิตก็ยังคงที่ แต่ในอนาคตอันใกล้หากธุรกิจด้านการก่อสร้างมีการเลื่อนโครงการและเป็นไปอย่างล่าช้า ก็อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของบริษัท ที่อาจจำเป็นต้องลดกำลังการผลิตลงเพื่อให้สอดคล้องกับอุปสงค์ของตลาด