นายสมพร ธีระโรจนพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีเอสไอ โฮลดิ้ง จำกัด เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ตลาดจานทีวีดาวเทียมในปีที่ผ่านมาค่อนข้างทรงตัวและมียอดเปลี่ยนจานลดลง เนื่องจากสินค้ากลุ่มนี้มีอายุการใช้งานนานหลายปี ขณะที่กล่องรับสัญญาณทีวีดาวเทียมยังมีการเปลี่ยนต่อเนื่องโดยเฉลี่ยราว 2.5 ล้านกล่องต่อปี และเป็นกล่องรูปแบบใหม่รุ่น S3 ประมาณ 5 แสนกล่อง ซึ่งปัจจุบันพีเอสไอมียอดขายกล่องรวมทั้งหมดกว่า 30 ล้านกล่อง แต่มีผู้ใช้จริงราว 13-14 ล้านกล่อง สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ 3,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้ 2,700 ล้านบาท ตํ่ากว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งตั้งเป้าที่จะมีรายได้ 3,000 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้มาจากกลุ่มธุรกิจทีวีดาวเทียมกว่า 60% ธุรกิจ Uplink 30% และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน 10% ซึ่งในอนาคตภายใน 3 ปีข้างหน้าสัดส่วนกลุ่มธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านจะขยับเพิ่มเป็น 20%
“ที่ผ่านมาแม้ผู้ชมทีวีจะมีจำนวนลดน้อยลง แต่ทีวียังเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านที่ทุกครัวเรือนต้องมี และต้องเปลี่ยนสมํ่าเสมอ ขณะเดียวกันคนดูส่วนใหญ่ยังให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าและเลือกชมผ่านทีวีดาวเทียม เนื่องจากมีจำนวนช่องให้เลือกชมมากและมีราคาถูก ขณะที่แนวโน้มตลาดนี้ในอนาคตเชื่อว่าจะทรงตัวต่อเนื่อง ดังนั้นบริษัทจึงต้องปรับแผนธุรกิจใหม่โดยการแตกไลน์สินค้าใหม่เพิ่ม อาทิ เครื่องปรับอากาศ เครื่องกรองนํ้า และกล้องวงจรปิด เป็นต้น”
สมพร ธีระโรจนพงษ์
สำหรับแผนการตลาดของกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน บริษัทมุ่งเจาะกลุ่มสมาชิกทีวีดาวเทียมพีเอสไอที่มีการรับชมจริงเป็นหลัก ด้วยการนำเสนอขายสินค้ากลุ่มใหม่เข้าไปเพิ่มเติม เนื่องจากบริษัทเชื่อว่าลูกค้ากลุ่มนี้มีความผูกพันกับแบรนด์พีเอสไอ นอกจากนี้บริษัทยังได้ให้ความสำคัญกับกลุ่มธุรกิจ Uplink มากขึ้น โดยหนึ่งในสินค้ากลุ่มนี้มีกล่องรับสัญญาณ S3 ซึ่งจะเข้ามาตอบโจทย์ตลาดโฮมช็อปปิ้งที่กำลังเติบโต โดยเทคโนโลยีในกล่องนี้สามารถสั่งซื้อสินค้าได้เลยจากจอทีวี ซึ่งล่าสุดบริษัทได้จับมือเป็นพาร์ตเนอร์ร่วมกับ MV HUB, Monomax แล้วและอยู่ระหว่างการเจรจากับ Netflix ด้วย
“พีเอสไอเชื่อว่าพฤติกรรมผู้ชมในยุคนี้ ใช้ชีวิตแบบออนไลน์และออฟไลน์ (O2O) แม้ในปัจจุบันคนรุ่นใหม่จะเลือกรับชมคอนเทนต์ผ่านจอสมาร์ทโฟน แท็บเลตหรือคอมพิวเตอร์ แต่หากพีเอสไอสามารถทำเครื่องมือการรับชมให้สะดวกมากขึ้น โดยการชมทีวีเชื่อมอินเตอร์เน็ตได้ทันที เชื่อว่าผู้ชมจะต้องเลือกกลับมารับชมบนทีวีอย่างแน่นอน ขณะเดียวกันเมื่อดูตลาดโฮมช็อปปิ้งในต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี เป็นต้น มีอัตราการสั่งซื้อผ่านทีวีสัดส่วนกว่า 30% แต่ประเทศไทยมีไม่ถึง 3% เชื่อว่าหากพีเอสไอทำอุปกรณ์ให้สั่งซื้อสินค้าได้สะดวกมากขึ้นก็จะทำให้ตลาดทีวีโฮมช็อปปิ้งมีอัตราการเติบโตสูงขึ้น”
นอกจากนี้บริษัทยังได้เตรียมเปิดตัวแอพพลิเคชันใหม่ในเดือนเมษายน ภายใต้ชื่อ AD Center ซึ่งจะเป็นแอพพลิเคชันเชื่อมโยงระหว่างผู้ประกอบการทีวีดาวเทียมและสื่ออื่นๆ ที่ต้องการให้เช่าพื้นที่โฆษณา หรือเวลาโฆษณาสามารถลงประกาศไว้ในแอพพลิชันได้ ขณะที่กลุ่มแบรนด์สินค้าหรือลูกค้าอื่นที่สนใจสามารถเลือกสื่อโฆษณา หรือเวลาโฆษณาทีวีดาวเทียมได้ทันที เพราะเชื่อว่าการโฆษณาผ่านสื่อทีวียังมีความน่าเชื่อถือมากกว่าสื่อออนไลน์เนื่องจากมีกฎหมายควบคุม แต่ในทางกลับกันสื่อทีวีดาวเทียมกลับมีราคาโฆษณาใกล้เคียงสื่อออนไลน์ จึงเป็นโอกาสการเติบโตของพีเอสไอในอนาคต
หน้า 21-22 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,548 วันที่ 13-15 กุมภาพันธ์ 2563