อย่าปล่อยให้ "อสมท" ต้องเสียผลประโยชน์

08 ก.พ. 2563 | 06:47 น.

คอลัมน์ฐานโซไซตี ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3547 หน้า 4 ระหว่างวันที่ 9-12 ก.พ.63  โดย... ว.เชิงดอย

 

 

          .... วันนี้ขอไปเริ่มต้นกันที่เรื่องภายใน บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เขมทัตต์ พลเดช ในฐานะผู้อำนวยการใหญ่ อสมท ต้องตอบข้อสงสัยที่ สหภาพแรงงาน อสมท และบอร์ด อสมท หลายคนตั้งคำถามว่าทำไมเรื่องการเจรจาขอค่าชดเชยจากการเวนคืนคลื่น 2600 เมกะเฮิร์ต ที่ กสทช. จะเวนคืนเพื่อไปประมูล 5G โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่าทำกันแบบ “ลับๆ” แม้สหภาพจะถาม หรือบอร์ดจะขอให้นำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการ เพื่อความรอบคอบและผลประโยชน์จะตกแก่ บริษัท อสมทฯ อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะขณะนี้พูดกันทั่ว “อสมท” ว่ามีใครบางคนกำลังคิดไม่ซื่อ จะเอาค่าเวนคืนคลื่น 2600 เมกะเฮิร์ตครั้งนี้ ที่ได้รับจาก กสทช.หลายพันล้านบาท ไป “ประเคน” ให้กับ “เอกชน” ที่บริหารคลื่น 2600 เมกะเฮิร์ต แต่ไม่เคยให้ผลประโยชน์ใดๆ กับ อสมท เลย

          .... นี่แสดงว่าใครคนนั้นคงมีแผน “ฮั้ว” กับเอกชน และแบ่งผลประโยชน์กัน จำเป็นอย่างยิ่งที่ “ผอ.อสมท” ต้องออกมาชี้แจงให้กระจ่าง อย่าคิดว่าจะหมดวาระเดือนมิถุนายนนี้แล้ว ไม่สนใจสิ่งที่สหภาพ และกรรมการบริษัท อสมทฯ เขาทวงถามความกระจ่างเรื่องผลประโยชน์องค์กร และจงอย่า “มุบมิบ” ทำ ถึงแม้ว่า อสมท จะเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯแล้ว แต่อีกขาหนึ่งยังคงสถานะรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ หากเกิดความเสียหายเกิดขึ้น ก็ยังเข้าเกณฑ์กฎหมายที่ ป.ป.ช.สามารถตรวจสอบเอาผิดได้ ซึ่งหากพบทุจริต กฎหมายป.ป.ช.ที่แก้และบังคับใช้ใหม่แล้วนั้น “ไม่มีอายุความ” สำหรับคดีทุจริตแม้จะหมดวาระการดำรงตำแหน่งแล้ว หากป.ป.ช.หยิบยกมาสอบสวน ก็สอบได้ทุกเมื่อ ยิ่งเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ความโปร่งใสและธรรมาภิบาล เป็นเรื่องจำเป็นต้องมี เรื่องนี้จึงขอโบกธงเชียร์สหภาพและบอร์ด อสมท ในการออกมาปกป้องผลประโยชน์องค์กรของรัฐอย่างเต็มที่...

 

          .... หันไปดูอนาคตของ “พรรคอนาคตใหม่” ที่เริ่มนับถอยหลัง จากวันนี้ไปจนถึงวันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ เวลา 15.00 น. หรืออีกราว 2 สัปดาห์ ก็จะได้รู้ชะตากรรมว่า ยังจะมี “อนาคตใหม่” อยู่ในสารบบพรรคการเมืองไทยต่อไปอีกหรือไม่ เพราะเป็นวันที่ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ได้นัดพิพากษาว่าจะต้องถูก “ยุบพรรค” หรือ “รอด” จากคำร้องของ กกต.ที่ขอให้ศาลวินิจฉัยเพื่อมีคำสั่งยุบพรรค จากกรณีพรรคอนาคตใหม่กู้เงิน ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค จำนวน 191 ล้านบาท

          .... ความเป็นไปได้ของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่จะออกมาในคดีนี้ เป็นไปได้ 3 แนวทางคือ 1.พรรคอนาคตใหม่ไม่ผิด ให้ยกคำร้อง 2. ผิด สั่งยุบพรรค และ 3. ผิด ไม่ยุบพรรค ให้เอาผิดกับกรรมการบริหารที่กู้เงินและรับเงินกู้ หากให้คาดการณ์ผลคำวินิจฉัยของ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ที่จะออกมา “ว.เชิงดอย” ขอฟันธง “ยุบพรรค” แน่นอน เพราะเห็นๆ กันอยู่ “คุณ” ไปทำในสิ่งที่นอกเหนือจากสิ่งที่กฎหมายพรรคการเมืองเขา “ขีดเส้น” ให้เดิน

          .... อะไรบ้างที่กฎหมายขีดเส้นให้เดิน ตามพ.ร.บ.พรรคการเมือง ปี 2560 มาตรา 62 กำหนดประเภทของรายได้ของพรรคการเมืองไว้ 7 ช่องทาง คือ 1.จากเงินทุนประเดิม (ทุนประเดิมไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท โดยผู้ร่วมกันจัดตั้งพรรคการเมืองทุกคนต้องร่วมกันจ่ายเพื่อเป็นทุนประเดิมคนละไม่น้อยกว่า 1,000 บาท แต่ไม่เกินคนละ 50,000 บาท) 2.เงินค่าธรรมเนียมและค่าบำรุงพรรคการเมืองตามที่กำหนดในข้อบังคับ 3.เงินที่ได้จากการจำหน่ายสินค้าหรือบริการของพรรค 4.เงิน ทรัพย์สินและประโยชน์อื่นใดที่ได้จากการจัดกิจกรรมระดมทุนของพรรค 5.เงิน ทรัพย์สิน และประโยชน์อื่นใดที่ได้จากการรับบริจาค 6.เงินอุดหนุนจากกองทุน และ 7.ดอกผลและรายได้ที่เกิดจากเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดของพรรคการเมือง ซึ่งตามกฎหมายมาตราเดียวกันนี้ไม่มีตรงไหนเลยที่ระบุ ให้บุคคลใดหรือให้พรรคการเมืองใดสามารถ “กู้ยืมเงิน” มาใช้ในกิจกรรมของพรรคการเมืองได้

 

          .... หากศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ยุบ “อนาคตใหม่” นอกจาก ส.ส.จะต้องหาพรรคสังกัดใหม่ภายใน 60 วันแล้ว ยังมีโทษตามความผิด ม.124 ของ พ.ร.บ.พรรคการเมือง 2560 มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรค ซึ่งมีอยู่ 15 คน เป็นเวลา 5 ปี และพรรคอนาคตใหม่ ยังต้องเจอกับบทลงโทษตาม ม.125 ของพ.ร.บ.พรรคการเมือง ปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท แถมให้เงินส่วนที่เกินกฎหมายตกเป็นของกองทุนพรรคการเมือง...อดใจรออีก 2 สัปดาห์ คงได้รู้กันผลออกมาจะเป็นเช่นไร

          .... ฟังดูดีสวยหรูเหลือเกินกับการที่ เสี่ยหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข ออกมาบอกกล่าวถึงสาเหตุที่ไม่ไปรับคนไทยที่เมืองอู่ฮั่น เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ว่าเป็นเพราะไม่ต้องการสร้างความวุ่นวายให้กับทางการจีน เพราะตนเองมีตำแหน่งสูง ถ้าเดินทางไปจะเพิ่มกระบวนการให้กับทางการจีนและทางการไทย...จริงเหรอ? ที่ว่าตัดสินใจไม่ไปเองนะ เห็นร่ำลือกันให้แซด เท็จจริงประการใด ไม่รู้ได้ ว่าทางจีนเขาไม่ยินดีต้อนรับ “เสี่ยหนู” เพราะดันไปมีไอเดียเสนอให้ที่ประชุมคณะอำนวยการเตรียมความพร้อมเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคอุบัติใหม่แห่งชาติ ในที่ 31 มกราคม ที่ผ่านมา ให้รัฐบาลพิจารณามาตรการป้องกันไวรัสโคโรนา ด้วยการเสนอให้ยกเลิก Visa On Arrival” ซึ่งเป็นการมาขอวีซ่าที่เมืองไทยสำหรับวีซ่าที่ออกจากสถานทูตโดยตรง หรือ E Visa เพื่อจำกัดปริมาณนักท่องเที่ยวจีน ที่จะเดินทางเข้ามาประเทศไทย โดยอ้างว่าเพื่อสร้างความอุ่นใจและสบายใจให้กับคนไทย เพราะสุขภาพของประชาชนสำคัญที่สุด...เดชะบุญที่คณะกรรมการชุดนี้ ไม่ “บ้าจี้” ด้วย ไม่อย่างนั้นสัมพันธ์ “ไทย-จีน” คงได้กระทบกระเทือนแน่!!!