หน้ากากอนามัย หายไปไหน!!!

08 ก.พ. 2563 | 00:30 น.

 

กลายเป็นประเด็นว่อนโซเชียล กรณีหน้ากากอนามัยขาดแคลน สวนทางเสียงจากนายกรัฐมนตรีที่ออกมายืนยันเสียงแข็ง “มันจะขาดตลาดได้ยังไง กระทรวงพาณิชย์ เขาก็ยืนยันว่ามันมีไม่ใช่เหรอ” จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันกระหึ่มถึงคำพูดของผู้นำประเทศที่สวนทางกับสถานการณ์จริง ในเวลาที่ประชาชนกำลังตื่นตระหนกทั้งฝุ่นพิษและไวรัสโคโรนา แต่ไม่สามารถหาซื้อหน้ากากอนามัยได้ตามร้านค้าปลีกหรือร้านขายยาทั่วไป

กระแสหน้ากากอนามัยหายไปไหน ตลอดสัปดาห์มานี้ถูกกล่าวถึงกันมาก วัดจากคนใกล้ตัวที่มาจากหลายพื้นที่ต่างพูดไปในเสียงเดียวกันว่าหาซื้อไม่ได้จริงๆ! บ้างก็พูดด้วยความหงุดหงิดใจว่าแถวบ้านมีขาย แต่ราคาสูงจับไม่ลง วันนี้แม้แต่ตามโรงพยาบาลหลายแห่งก็ส่งข้อมูลแพร่หลายไปทั่วว่าหน้ากากอนามัยขาดตลาดจริงๆ

ผู้ฉวยโอกาสกอบโกยช่วงที่ประชาชนลำบากจากฝุ่นพิษ และหวาดผวากับไวรัสโคโรนา ใต้จิตสำนึกคนลำบากอยู่แล้วไปซ้ำเติมกันทำไม!!! เกิดคำถามตามมาเป็นหางว่าว

สอดคล้องกับที่นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานงานส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) ในฐานะที่ดูแล 45 กลุ่มอุตสาหกรรม ตั้งข้อสังเกตว่า หน้ากากอนามัยขาดตลาด หรือผลิตออกมาจำนวนมากแล้วหายไปไหนนั้น มีประเด็นที่ต้องจับตา ไล่ตั้งแต่ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ลากมาถึงไวรัสโคโรนา ที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนกว้านซื้อยกแผง ทั้งใช้ในประเทศ และจากคำสั่งซื้อเพื่อส่งออกจำนวนมาก ทำให้ตลาดหน้ากากอนามัยมีการเก็งกำไรเกิดขึ้น ขายราคาสูงขึ้นเป็นเท่าตัว โดยก่อนหน้านั้นมีคนอ้างรับซื้อเพื่อส่งออกไปจีนจำนวนหลายล้านชิ้นผ่านช่องทางโซเชียล เพื่อรับมือการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา มีจำนวนการสั่งซื้อในปริมาณที่สูงขึ้นหลายเท่าตัว หรือหลักหลายล้านชิ้น

อีกทั้งเกิดปรากฏการณ์ในลักษณะที่เหมือนกรณีที่ในประเทศจีนเคยประสบปัญหานมผง และนมอัดเม็ดไม่มีคุณภาพ คนจีนแห่เข้ามาซื้อในไทย ทำให้นมอัดเม็ดในไทยขายดิบขายดี คนจีนนิยมซื้อไปบริโภคและซื้อเป็นของฝาก แบบเหมาซื้อจำนวนมาก ตอนนี้เปลี่ยนเป็นซื้อหน้ากากอนามัยแทน เริ่มแรกจีนสั่งออร์เดอร์หน้ากาก N95 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูง แต่ตลาดในไทยส่วนใหญ่เป็นการนำเข้า ต่อมาหน้ากากอนามัยที่ผลิตในไทยใช้ได้ทั้งหมด ไม่เลือกชนิด เพราะความต้องการสูงขึ้นเรื่อยๆจนขาดตลาด

แหล่งข่าวจากวงการอุตสาหกรรมอีกรายระบุว่า ปัญหาดังกล่าวผสมโรงกับที่โรงงานในไทยผลิตไม่ทัน เพราะเวลานี้มีออร์เดอร์จองกันถึงหน้าโรงงานซื้อในราคาพร้อมจ่าย

หน้ากากอนามัย  หายไปไหน!!!

 

 

กระแสดังกล่าวเป็นเหตุให้การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ประกาศให้หน้ากากอนามัย ​เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ​ เป็นสินค้าควบคุม ห้ามขายเกินราคา ล่าสุดคณะกรรมการว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) กำหนดให้ผู้ผลิต นำเข้า และผู้ค้า ที่มีสินค้าเกี่ยวข้องต้องแจ้ง ปริมาณสต๊อกปริมาณนำเข้า ปริมาณการขาย และราคาที่ซื้อให้กับกรมการค้าภายในรับทราบ รวมถึงจะจำกัดการส่งออก หากมีการส่งออกหน้ากากอนามัยเกิน 500 ชิ้นขึ้นไป จะต้องขออนุญาตก่อนส่งออกทุกครั้งทุกล็อต

ด้านกรมการค้าภายในก็ขานรับ เปิดโต๊ะหารือ ห้างโมเดิร์นเทรด 14 ราย ถึงสถานการณ์การจำหน่ายหน้ากากอนามัยและเจลล้างมือ โดยห้างโมเดิร์นเทรดยืนยันยังมีในสต๊อกอยู่ และจะมีเข้ามาเติมเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งขอความร่วมมือให้ห้างโมเดิร์นเทรด ร้านค้าสะดวกซื้อจำกัดปริมาณขายให้กับผู้บริโภคห้ามเกิน 10 ชิ้นต่อครั้งต่อคน เพื่อไม่ให้มีการกักตุน หน้ากากอนามัยและเจลล้างมือจนสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้บริโภครายอื่น ซึ่งมีผลไปแล้วเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้กรมการค้าภายในต้องส่งชุดสายสืบกระจายกำลังลงพื้นที่ 10 เส้นทาง เพื่อตรวจสอบตลาดร้านขายหน้ากากอนามัยในพื้นที่ต่างๆ หลังพบว่ามีผู้ค้าบางรายยังฉวยโอกาสขายในราคาสูงเกินจริง พร้อมประกาศออกสื่อหากผู้บริโภคพบเห็นผู้ที่ค้าขายแพงเกินจริงจากที่เคยซื้อให้ถ่ายรูปหรือเก็บใบเสร็จไว้และแจ้งที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 เพื่อจับปรับ ไม่ให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบประชาชน สำหรับการกักตุนหน้ากากอนามัย-ขายเกินราคา มีโทษจำคุก 7 ปี ปรับ 140,000 บาท

ออกแอกชันกันแบบนี้ ต้องติดตามต่อไปว่าในที่สุดแล้วจะปราบบรรดาพ่อค้าหัวใส ที่ชอบกักตุน และขายในราคาเกินจริงได้หรือไม่ ขณะเดียวกันสถิติการส่งออกหน้ากากอนามัยปี 2563 น่าจะเติบโตหลายเท่าตัว จากปัจจุบันไทยมีกำลังการผลิตหน้ากากอนามัย 600 ล้านชิ้นต่อปี เมื่อปี 2562 มีการส่งออกหน้ากากอนามัย 226 ล้านชิ้น สูงกว่าปี 2561 ที่ส่งออก 71 ล้านชิ้น ส่วนใหญ่ส่งออกไปจีน ไต้หวัน ฮ่องกง ญี่ปุ่น เป็นหลัก 

หน้า 9 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3547 วันที่ 9-12 กุมภาพันธ์ 2563