“วิรไท”ลั่น พร้อมใช้นโยบายการเงินเพิ่ม

นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)เปิดเผยว่า ธปท.พร้อมที่จะดำเนินนโยบายการเงินเพิ่มเติม หากเกิดสถานการณ์เลวร้ายลงมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน  เพราะยังมีเครื่องมือในการดำเนินนโยบายทางการเงินอย่างเพียงพอ และยังได้ประสานความร่วมมือกับกระทรวงการคลังในการดำเนินนโยบายเพื่อดูแลเศรษฐกิจและผลกระทบที่เกิดขึ้น จากความผันผวนเ ความซับซ้อนและความไม่แน่นอนที่ยังมีสูง หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)มีมติเป็นเอกฉันท์ในการปรับลดดอกเบี้ย 0.25% ส่งผลให้ดอกเบี้ยนโยบายปรับลดลงจาก 1.25% มาอยู่ที่ระดับ 1.00% ซึ่งธปท.เป็นธนาคารแรกที่ปรับลดดอกเบี้ยลง หลังจากการระบาดของไวรัสโคโรนา

ทั้งนี้การปรับลดอกเบี้ยนโยบายลงมาจาก 3 ปัจจัยหลักคคือ การระบาดของไวรัสโคโรนาที่กระทบต่อภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม ความล่าช้าของงบประมาณปี 2563 จากที่เคยเป็นพระเอกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมาและจะต่อเนื่องในปีนี้  แต่มาสะดุดลง จากเดิมที่คาดว่าจะล่าช้าจากเดือนตุลาคม 2562 และสามารถเบิกจ่ายได้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 แต่ยังไม่ชัดเจน ซึ่งความล่าช้าอาจจะถ่วงในเรื่องลงทุนและ การดำเนินนโยบายต่างๆของภาครัฐ และปัญหาภัยแล้ง แม้อาจจะกระทบต่อจีดีพีไม่มาก แต่มีจำนวนประชาชนที่พึ่งพิงภาคการเกษตรจำนวนมาก ทั้งในต่างจังหวัดและจะส่งผลต่อรายได้ครัวเรือนและอุตสาหกรรมที่ลดลง

“การท่องเที่ยวที่ลดลง ทำให้กันชนที่เคย มีปรับลดลงมาในภาวะที่เราเจอความเสี่ยงหลายด้าน กนง.จึงปรับลดดอกเบี้ยลงต่ำสุดเป็นประวัติศาสตร์ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง แม้จะช่วยเศรษฐกิจไม่ได้มาก แต่แบงก์ชาติได้ประสานกับกระทรวงการคลังและสถาบันการเงินในการดำเนินนโยบายร่วมกัน โดยเฉพาะในการเพิ่มสภาพคล่องและการปรับปรุงโครงสร้าง โดยหลังประชุมกนง.ได้ประชุมร่วมสมาคมธนาคารไทย  เพื่อขอความร่วมมือให้ตั้งหน่วยงานพิเศษ เพื่อดูแลลูกหนี้ที่อยู่ในต่างจังหวัดที่อาจจะได้รับผลกระทบและประสบปัญหาทางการเงิน โดยให้สถาบันการเงินเข้าไปช่วยดูแลในเรื่องสภาพคล่อง”