ไวรัสโคโรนา ปัจจัยที่ไม่ควรมองข้ามต่อการลงทุน

05 ก.พ. 2563 | 14:08 น.

บทความโดย : TMBAM Eastspring

เชื่อว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่กำลังระบาดอยู่ในมณฑลอู่ฮั่นประเทศจีน เป็นที่กล่าวขวัญและกำลังส่งผลต่อความเชื่อมั่นต่อการลงทุนไม่น้อย ปัจจุบันมีรายงานการพบผู้ติดเชื้อในหลายประเทศ เช่น เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น, ไต้หวัน รวมถึงไทยก็มีรายงานผู้ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้แล้ว

ก่อนจะไปวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ที่จะกระทบต่อการลงทุนจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นี้ เราลองย้อนนึกไปดูเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโรคที่เคยเกิดขึ้นในอดีตว่ากระทบเศรษฐกิจและการลงทุนทั่วโลกอย่างไร

หากเราย้อนไปในปี 2003 เชื่อว่าคงไม่มีใครไม่รู้จักโรคซาร์ส(SARS) ซึ่งเป็นโรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง และได้สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจและการลงทุน โดยโรคซาร์สมีผู้ติดเชื้อมากกว่า 8,000 ราย และมีผู้เสียชีวิตรวมกันราว 800 ราย

ไวรัสโคโรนา ปัจจัยที่ไม่ควรมองข้ามต่อการลงทุน

ซึ่งเหตุการณ์โรคระบาดในครั้งนั้นส่งผลให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนและฮ่องกงปรับตัวลดลงอย่างชัดเจนรวมถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลกปรับตัวลดลงด้วย

ไวรัสโคโรนา ปัจจัยที่ไม่ควรมองข้ามต่อการลงทุน

ผลกระทบดังกล่าวส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลงกว่า 10% ในช่วงระยะเวลาสองเดือนก่อนที่จะฟื้นตัวขึ้นมาหลังจากการเทขยายของผู้ลงทุน
ไวรัสโคโรนา ปัจจัยที่ไม่ควรมองข้ามต่อการลงทุน

แล้วไวรัสโคโรนาที่กำลังระบาดในครั้งนี้ เมื่อเทียบกับโรคซาร์สที่ระบาดในปี 2003 จะส่งผลต่อเศรษฐกิจและการลงทุนเหมือนหรือต่างกันอย่างไร?

ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่าค่อนข้างจะแตกต่างกันในหลายเรื่อง
 

- เป็นระยะเวลาค่อนข้างนาน ที่ทางการจีนจะประกาศการแพร่ระบาดของโรคซาร์สก็กินเวลาไปแล้ว 3 เดือน (เริ่มพบโรคซาร์สตอนเดือน พ.ย. 2002 แต่เริ่มแพร่ระบาดหนักในเดือน ก.พ. ปี 2003) แต่ครั้งนี้ทางการจีนมีการ Take Action และมีการใช้มาตรการเพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดอย่างทันท่วงที

- หลายประเทศให้ความร่วมมือและมีมาตรการการคัดกรองและคัดแยกผู้ที่ติดเชื้อ รวมถึงผู้ที่คาดว่ามีการปฏิสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้ออย่างเร่งด่วน

- ในสมัยที่เกิดโรคซาร์สปี 2003 มีตัวเร่งปฏิกิริยากับตลาดหุ้นอีกแรงก็คือ สงครามอิรัก แต่ปัจจุบันตัวเร่งปฏิกิริยาในตลาดหุ้นยังไม่ได้มีชัดเจนเหมือนตอนนั้น จะมีบ้างก็เรื่องสงครามการค้าที่มาเป็นระลอก

แต่สิ่งที่ต้องไม่ลืมคือ ปัจจุบัน “จีน” มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและการลงทุนของโลกมากกว่าในอดีต หากควบคุมไม่อยู่และกระจายเป็นวงกว้าง ผลกระทบอาจมากกว่าในอดีต

- เพราะต้องไม่ลืมว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจจีนใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก คาดการณ์ว่า GDP ปี2020 ที่ทางIMF คาดว่าปีนี้ โลกจะขยายตัว 3.3% จะโตมาจากจีนคิดเป็นเกือบ 1ใน3 ของGDP โลก!!

- เมื่อเทียบปี2003 GDP Per Capita หรือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศต่อหัว หรือ GDP ต่อหัว เป็นตัวเลขที่บอกว่าค่าเฉลี่ยของ GDP เมื่เทียบกับคนในประเทศแล้ว หนึ่งคนสามารถสร้างมูลค่า GDP ขึ้นมาเท่าไหร่ ณ ตอนปี 2003 ไม่ถึงGDP Per Capita ของจีนไม่ถึง 1,500 USD ปัจจุบันกว่า 10,000 USD แน่นอนว่าหากใช้ระยะเวลาควบคุมที่นานเกินไป ผลกระทบต่อการจับจ่ายใช้สอย รวมถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนและเศรษฐกิจโลกอาจได้รับผลกระทบ

ไวรัสโคโรนา ปัจจัยที่ไม่ควรมองข้ามต่อการลงทุน
หากดูยอดการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวที่มีการใช้จ่ายมากที่สุด มากจากจีนเป็นอันดับ 1 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 227 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นเงินเท่าไหร่ก็เอา30 บาทไปคูณ
 

 

ไวรัสโคโรนา ปัจจัยที่ไม่ควรมองข้ามต่อการลงทุน

จะเห็นได้ว่าถ้าควบคุมไม่ได้ ไวรัสโคโรนาไม่เพียงกระทบกับสุขภาพและความเป็นอยู่ของคนทั่วโลก แต่กำลังเป็นความเสี่ยงใหม่ที่สำคัญต่อเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวทั่วโลก

จีนกำลังเจออีกหนึ่งบทพิสูจน์ หากต้องการบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ในแผน Made in China 2025 แต่รอบนี้ไม่ได้มีใครไปสกัดขาจีน แต่เป็นความท้าทายว่า...หากจะก้าวเป็นผู้นำโลก ต้องมีการจัดการปัญหาภายในของตัวเองให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นโรคระบาด หรือภัยธรรมชาติ

-ผลกระทบต่อการลงทุน

อาจจะเร็วเกินไปที่จะประเมินว่าผลกระทบจากไวรัสโคโรนาในรอบนี้จะยาวนาน หรือส่งผลกระทบในวงกว้างมากแค่ไหนคงต้องประเมินกันเป็นรายสัปดาห์ ส่วนสินทรัพย์ลงทุนประเภทหุ้นก็อย่าเพิ่งวิตกจนเกินไป ในช่วงนี้ผู้ลงทุนอาจมองหาสินทรัพย์ประเภท Defensive ไว้เพื่อกระจายการลงทุน รวมถึงการจัดพอร์ทการลงทุนก็เป็นอีกวิธี ที่ช่วยลดความผันผวนและกระจายความเสี่ยงจากการลงทุน

สำหรับเรื่องไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เป็นเรื่องที่ผู้ลงทุนและไม่ใช่ผู้ลงทุนต้องคอยติดตามความคืบหน้าของโรคนี้อย่างใกล้ชิด รวมถึงเอาใจช่วยหน่วยงานสาธารณสุขของแต่ละประเทศ รวมถึงดูแลและป้องกันตัวเอง รวมถึงหลีกเลี่ยงที่จะพาตนเองไปในพื้นที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาด