นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจการเงิน เกียรตินาคินภัทรเปิดเผยว่า ปี 2562 มีปัจจัยภายนอกที่ทำให้เศรษฐกิจผันผวนหลายอย่าง เช่น สงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐ แต่ผลประกอบการของกลุ่มธุรกิจฯ ออกมาในระดับที่น่าพอใจ โดยเฉพาะกําไรสุทธิ(และกำไรเบ็ดเสร็จที่รวมผลจากการวัดมูลค่าหลักทรัพย์เผื่อขายของธุรกิจตลาดทุน) เพราะธุรกิจฝ่ายตลาดทุนหลายส่วนได้รับประโยชน์จากความผันผวนในตลาด เช่นธุรกิจการลงทุนของฝ่ายค้าหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า และส่วนอื่นๆของธุรกิจตลาดทุนก็ทำได้ดีเช่นกัน เช่น ธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ให้แก่ลูกค้าสถาบัน ที่บล.ภัทร ครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ1 ในปีที่ผ่านมา ธุรกิจวานิชธนกิจ ที่มีธุรกรรมรายการใหญ่หลายรายการ เช่น AWC และธุรกิจ Wealth Management ธุรกิจจัดการกองทุน ซึ่งปัจจุบันมีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการร่วม 6 แสนล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1 แสนล้านบาท
นายฟิลิป เชียง ชอง แทน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคาร เกียรตินาคิน จำกัด(มหาชน)กล่าวว่า ปี 2562 สินเชื่อธนาคารขยายตัว 4.2% โดยมาจากการขยายตัวในสินเชื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ สินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอี และสินเชื่อรายย่อยเกือบทุกประเภท ยกเว้นสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่หดตัวตามยุทธศาสตร์การกระจายความเสี่ยงของธนาคารและสินเชื่อบรรษัท ซึ่งมีการจ่ายหนี้คืนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2562 ขณะที่การพัฒนาระบบคัดกรองสินเชื่อและติดตามเร่งรัดหนี้ ทำให้สามารถควบคุมคุณภาพสินเชื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อลดจาก 4.1% ในปี 2561 เหลือ 4.0% ในปี 2562 ดังนั้นแม้จะมีปัจจัยท้าทายทางเศรษฐกิจหลายประการ แต่ระบบดำเนินงานภายในที่พัฒนาขึ้น จะทำให้สินเชื่อปี 2563 เติบโตได้ 7-9%
นายปรีชา เตชรุ่งชัยกุล ประธานสายการเงินและงบประมาณและประธานสายตลาดการเงิน ธนาคาร เกียรตินาคิน จำกัด(มหาชน)กล่าวว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ปี 2562 กลุ่มธุรกิจฯมี กําไรสุทธิ 1,680 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.7% จากงวดเดียวกันของปี 2561 เป็นกําไรสุทธิของธุรกิจตลาดทุน ซึ่งดําเนินการโดยบริษัท ทุนภัทร จํากัด (มหาชน) และบริษัทย่อย 310 ล้านบาท มีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ 3,118 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.6% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ 1,250 ล้านบาท ลดลง 4.8% และรายได้อื่น 642 ล้านบาท รวมเป็นรายได้จากการดำเนินงานทั้งสิ้น 5,010 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.6% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
นายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์และหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด(มหาชน)กล่าวว่า แม้เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวตามวงจรเศรษฐกิจและการส่งออกที่เริ่มส่งสัญญาณดีขึ้น แต่แนวโน้มเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยง บล. ภัทรจึงปรับลดประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2563 จาก 2.8% เหลือ 2.2% จาก 3 ปัจจัยเสี่ยงหลักคือ การระบาดของไวรัสโคโรน่าที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อการท่องเที่ยว ความล่าช้าของกระบวนการงบประมาณที่ส่งผลกระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณ ทำให้เม็ดเงินไม่ถูกเข้าสู่ระบบตามที่ควรจะเป็น และวิกฤตภัยแล้งที่หนักสุดในรอบหลายปีของไทย ดังนั้นบล. ภัทร คิดว่า มีความจำเป็นต้องใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งผ่านนโยบายการคลังและนโยบายเงิน เพื่อพยุงเศรษฐกิจจากปัจจัยเสี่ยงระยะสั้นเหล่านี้ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี