เหตุผลสำคัญ! ที่ไทยต้องไม่ทอดทิ้งจีนยามทุกข์ยาก

06 ก.พ. 2563 | 03:45 น.

คอลัมน์ฐานโซไซตี ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,546 ระหว่างวันที่ 5-7 ก.พ.63 โดย... พริกกะเหรี่ยง

 

     ... พิษไวรัสโคโรนา นอกจากเป็นวายร้ายตัวใหม่ของคนทั่วโลกยังส่งผลกระทบหลายด้านทั้งธุรกิจและสังคม ภาคการท่องเที่ยวนั้นไม่ต้องพูดถึง “ดับสนิท” ตั้งแต่ทัวร์อินบาวด์-เอาต์บาวด์ตลาดจีน ลามไปถึงผู้คนทั่วโลกที่ขยาดการเดินทาง ผลก็คือสะเทือนนักท่องเที่ยวทั่วโลก ด้วยความกลัว ธุรกิจ แอร์ไลน์-โรงแรม-บริษัทนำเที่ยว-ไกด์-ค้าปลีก-จิวเวลลี-รถเช่า–สวนสนุกการแสดงโชว์ต่างๆ ชัตดาวนท์ทุกเซ็กเตอร์ ที่รับนักท่องเที่ยวจีนจอดสนิท

     ... ธุรกิจย่อมมีขึ้น-มีลง และประเมินแล้วคาดว่าจะกระทบหนักๆ ไม่เกิน 3-6 เดือน แต่ที่น่าเป็น “ห่วง” กว่าก็คือปัญหาทางสังคม การกีดกันทางเชื้อชาติ ตั้งแง่รังเกลียด “คนจีน” ตามมา หลายประเทศ มีการยกเลิกวีซ่าหน้าด่านหรือวีซ่า VOA บางประเทศไม่ออกมีวีซ่าให้คนจีนเข้าประเทศ ร้านอาหารบางร้านติดป้ายไม่ต้อนรับคนจีน ช่วงนี้ได้ยินเสียงคนจีนที่ไหนวงแตกที่นั่น คนจีนบางคนก็ถึงกับออกมาโพสข้อความ ขอโทษ แสดงความเสียใจ ที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อธุรกิจ ซึ่งในความเป็นจริงไม่มีใครอยากให้เกิดโรคนี้ แต่เป็นเหตุ “สุดวิสัย” เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ต้องป้องกัน รักษาเยียวยาทั้งสุขภาพ ร่างกายและจิตใจ “อกเขาอกเรา” ต้องมาก่อน

 

     ... การเสนอยกเลิกวีซ่า VOA คนจีนที่เข้าประเทศไทย จึงความเห็นแตกแยกทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน กระทบทั้งในแง่จิตใจ ความมั่นคง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ช่วงไทยมีปัญหา ทุเรียนราคาตกก็ได้ “แจ็กม่า” เข้ามาเหมาไม่กี่นาทีขายหมด ชาวสวนลืมตาอ้าปาก ท่องเที่ยวไทยตกต่ำ จีนก็เข้ามาช่วยอัดฉีด คอนโดขายไม่ออกก็เล่ไปขายคนจีน ลงทุนอีอีซีก็ชวน “อาลีบาบา” เข้ามาปักหมุด ปั้นเมืองการบินอู่ตะเภาก็ได้โมเดล จากจีน รถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ก็ได้วิศวกรจีนมาช่วยถ่ายทอดเทคโนโลยี ฯลฯ

     ... แต่ก็ใช่ว่าจีนจะดีไปเสียหมด ข้อไม่ดีก็มีแต่นั่นก็อยู่ที่วางกฏ กติกา ตั้งเงื่อนไข จัดระเบียบ ควบคุม “ป้องกัน” ให้รัดกุมไม่ให้ เขามาเอารัดเอาเปรียบ และทำธุรกิจอย่างถูกก.ม. ซึ่งก็คือหน่วยงานรัฐต้องจริงจังกับเรื่องนี้ การเสนอแนวคิดยกเลิกวีซ่า VOA จีนตอนนี้ จึงไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม เป็นการแสดงออกชัดเกินไปว่ายามทุกข์ยาก “ไทยทิ้งจีน” ยามที่เขาลำบาก ทิ้งมิตรที่ดียามยาก

     ... แทนที่เมื่อคราวทุกข์ยากลำบากจะได้เห็น “มิตรแท้ที่ไม่ทอดทิ้งกัน” เพราะไม่ต้องยกเลิกวีซ่า VOA ก็ไม่มีนักท่องเที่ยวจีนมาเมืองไทยอยู่แล้ว ฉะนั้นเอาใจเขามาใส่ใจเรา และคิดพิจารณาให้รอบด้าน ใช้ทั้งสติและปัญญา ช่วยแก้ปัญหาได้ ประเทศไหนจะทำอะไรก็ช่างเขา แต่สำหรับประเทศไทยต้องมีจุดยืนที่ชัดเจน

 

     ... ส่วนประเด็นการเอาไทยแอร์เอเซียไปรับคนไทยที่ “อู่ฮั่น” ทำไมไม่ใช้ การบินไทย “สายการบินแห่งชาติ” ก็เพราะแอร์เอเซีย มีใบอณุญาตบินอู่ฮั่นอยู่แล้วมีความชำนาญ หากใช้เครื่องการบินไทยก็ต้องเริ่มขบวนการขั้นตอนใหม่ๆ ตั้งแต่ “ศูนย์”เพราะมีระเบียบขั้นตอนต่างๆ มากมายด้านการบิน ไม่ใช่นึกจะบินก็ไป กว่าจะผ่านก็ต้องใช้เวลา ทั้งที่การบินไทย ก็เตรียมเครื่องโบอิ้ง 747-400 ไว้แล้ว

     ... ไม่ใช่จู่ๆ ใครจะเอาเครื่องบินไปรับก็ทำได้ อย่างเครื่องบินทหาร C130 หมดสิทธิ์ ต้องใช้เครื่องบินพาณิชย์ ทำไมช้านัก? ก็คนนี้พูดอย่างอีกคนพูดอย่าง โดยไม่มีการตรวจสอบข้อมูลที่ชัดเจนก่อนให้ข่าว อีกทั้งเมื่อไปนำกลับมาแล้วยังมีขบวนการต่อเนื่องว่า จะเอาคนไทยไปกักไว้ที่ไหน 14 วัน อื่นๆ จิปาถะ ที่ต้องคิดให้จบทุกขั้นตอน สุดท้ายไปอยู่ที่ กองทัพเรือสัตหีบ บินตรงลงสนามบินอู่ตะเภา

     ... ความเฮี้ยนของ “ไวรัสอู่ฮั่น” เป็นเรื่องที่รัฐบาลและเอกชนต้องตั้งรับให้ดี เพราะหมายถึงรายได้ท่องเที่ยวกว่า 3 ล้านล้านบาท แขวนอยู่บนเส้นดายทั้งทัวร์จีนหายวับทันที ซึ่งกระทบธุรกิจต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ หากทำตลาดจีนตลาดเดียวก็ตายสนิทและยังห่วงว่าตลาดอื่นจะกลัวไม่เดินทางช่วงนี้ ซึ่งยิ่งกระทบหนัก และแน่นอนว่าปัญหาเอ็นพีแอลก็จะตามมาหลอน หากรัฐบาลไม่เร่งหาทางเยียวยา ที่พึ่งพาได้รวดเร็วทันใจก็ “ไทยเที่ยวไทย” เงินทองไม่รั่วไหล เพราะหากจีนแก้ปัญหา “ไวรัส” จบเขาก็อาจจะรณรงค์ให้คนจีนเที่ยวในประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ก็มีโอกาสสูงเช่นกัน ฉะนั้นไทยต้องป้องกันความเสี่ยง มีหลายก็อกไว้รองรับ !!