ผ่ามุมคิด
การทำธุรกิจไม่ว่าขนาดเล็ก หรือใหญ่ ท่ามกลางความเสี่ยงครบด้านในปี 2563 โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์นั้นสเต็ปการก้าวและแผนตั้งรับ-พร้อมรุก ถือเป็นสิ่งสำคัญ เช่นเดียวกับกลยุทธ์ขับเคลื่อนของรายใหญ่อย่าง “สิงห์ เอสเตท” ภายใต้การขยายพอร์ตครบเครื่องในระยะ 5 ปี ด้วยงบลงทุนกว่า 6.8 หมื่นล้านบาท สู่ความเป็น “โกลบัล โฮลดิ้ง คัมปะนี” อย่างสมบูรณ์แบบ โดยนายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ระบุปีนี้จะเป็นอีก 1 ปีที่มีความท้าทาย แต่ความเติบโตต้องเกิดขึ้น ผ่านความแข็งแกร่งทางการเงิน พร้อมส่ง “ธุรกิจโรงแรม” เป็นพระเอกหลักตัวสร้างรายได้ เปรียบเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ หลังจากขณะนี้ไม่ใช่จังหวะรุกในกลุ่มที่อยู่อาศัย พร้อมแย้มผุดธุรกิจใหม่ จับเทรนด์รักษ์โลก
ผ่า 3 แกน
ปัจจุบันบริษัทเติบโต ด้วยมูลค่าสินทรัพย์รวม 6.7 หมื่นล้านบาท ครอบคลุมกลุ่มโครงการที่อยู่อาศัย คอมเมอร์เชียล (อาคารสำนักงาน) และกลุ่มธุรกิจโรงแรม ผลักดันให้พอร์ตรายได้ใกล้จุดสมดุล ระหว่างรายได้เพื่อขาย และรายได้ประจำที่ 50 : 50 สะท้อนถึงความเป็นบริษัทระดับสากล หรือ “โกลบัล โฮลดิ้ง คัมปะนี” เป้าหมายใหญ่ที่ต้องการบรรลุ ขณะที่แนวทางในการดำเนินธุรกิจนั้น ไม่ได้มองแค่ปีนี้ แต่กำลังก้าวเข้าสู่สเต็ปใหม่ ระยะแผน 5 ปี (ปี 2563-2567) ในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยหลักยังคงมุ่งขยายใน 3 แกน ผ่านงบลงทุนทั้งสิ้น 6.8 หมื่นล้านบาท เฉลี่ยกลุ่มโครงการที่อยู่อาศัย 5-7 โครงการต่อปี รวม 30 โครงการ มูลค่า 3.75 หมื่นล้านบาท, ธุรกิจคอมเมอร์เชียล ซึ่งมีความเสี่ยงตํ่า เช่น ออฟฟิศ รวม 4 โปรเจ็กต์ มูลค่า 8.5 พันล้านบาท และกลุ่มธุรกิจโรงแรม ขยายต่ออีก 2.2 หมื่นล้านบาท
นริศ เชยกลิ่น
อสังหาฯไม่ดี
พร้อมระบุว่า ในปี 2563 สำหรับธุรกิจที่พักอาศัยนั้น อยู่ในช่วงเก็บเกี่ยวที่ลงทุนไปก่อนหน้า โดยมียอดขายรอรับรู้รายได้ประมาณ 6 พันล้านบาท และวางแผนเปิดโครงการใหม่ 6 โครงการ ผ่าน 5 แบรนด์ เป้ายอดขาย 8 พันล้านบาท เน้นในตลาดลักชัวรีมาร์เก็ต เพราะมองเป็นตลาดที่แข็งแรง ได้รับผลกระทบบ้าง แต่ไม่มาก อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าตลาดยังมีความเสี่ยง จึงจะไม่รุกหนักมาก จะเลือกลงทุนในโลเกชันที่สามารถเติบโตได้เท่านั้น
ชูธงธุรกิจโรงแรม
ขณะที่ในกลุ่มธุรกิจโรงแรม เปรียบเป็นปีทอง เพราะคาดจะเป็นเซ็กเตอร์ที่มีโอกาสเติบโตมากที่สุดใน 3 กลุ่ม ยกเป็น “แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” ผ่านรายได้ที่จะเข้ามามากขึ้นจากโครงการ “ครอสโร้ดส์ มัลดีฟส์” หลังเปิดตัวไปแล้ว 2 โรงแรมในช่วงปีที่ผ่านมาและมียอดเข้าพักดีต่อเนื่อง จากความเป็นเดสติเนชันของนักท่องเที่ยวทั่วโลก พร้อมเตรียมขยายเพิ่มอีก 1 โรงแรมภายในปีนี้ ขณะที่เป้าหมายระยะ 5 ปี ตั้งเป้าขยายจำนวนจากโรงแรมที่มีอยู่ 39 แห่งทั่วโลก เป็น 80 แห่ง จับกลุ่ม รีสอร์ต นักท่องเที่ยวระดับบน ใช้ความแข็งแกร่งทางการเงิน ผ่านการนำบริษัทลูกภายใต้บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ทฯ หรือ SHR เข้าตลาดหุ้น ในการเข้าซื้อและขยายธุรกิจในกลุ่มดังกล่าว
ความเสี่ยง
ขณะเดียวยอมรับว่าการทำธุรกิจในปีนี้ มีความยากอยู่บ้าง แต่ไม่กังวล เนื่องจากมองสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ มีทิศทางดีขึ้น สถานการณ์ความขัดแย้งเบาบางลง เฝ้าระวังเพียงการเมืองในประเทศ และภาวะเศรษฐกิจ เนื่องจากเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ จากพ.ร.บ.งบประมาณอาจล่าช้า ส่วนปัจจัยใหม่ โรคไวรัสโคโรนา อาจมีผลกระทบในกลุ่มโรงแรมที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการท่องเที่ยวนั้น เชื่อว่าเป็นเพียงระยะสั้น คล้ายภาวะที่เคยมีโรคระบาด ไข้หวัดนก และ โรคซาร์ส ในอดีต
นอกกรอบอสังหาฯ
ทั้งนี้ นายนริศ ยังกล่าวว่า หลังจากธุรกิจอสังหาฯ ถูกวางสเต็ปการเติบโตก้าวต่อไว้อย่างชัดเจนแล้ว ขณะนี้บริษัทเอง เริ่มมองหาโอกาสไปยังธุรกิจอื่นๆ ที่จะก่อให้เกิดความยั่งยืนทั้งในเรื่องของรายได้ และช่วยแก้ปัญหาของสิ่งแวดล้อมควบคู่กันไปด้วย โดยกำลังศึกษาและพัฒนา ในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวกับพลังงานทดแทน ซึ่งเป็นเทรนด์สำคัญของโลก และมีช่องว่างทางธุรกิจแฝงอยู่ ทั้งจะช่วยฉายภาพของการเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกในแง่ดีอีกด้วย เช่น พลังงานจากขยะที่เกิดขึ้นในโรงแรม เป็นต้น
หน้า 20-21 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,545 วันที่ 2-5 กุมภาพันธ์ 2563