วันที่ 30 ม.ค. 63 นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า เพื่อให้การเฝ้าระวังควบคุมป้องกัน มีความครอบคลุม กระทรวงสาธารณสุขได้เพิ่มการคัดกรองคนไทยที่มีอาชีพทำงานสัมผัสใกล้ชิดกับคนจีนที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย อาทิ ไกด์ พนักงานโรงแรม คนขับรถแท็กซี่ เจ้าหน้าที่สนามบิน ทำให้ช่วงนี้จำนวนผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค ต้องเฝ้าระวังเพิ่มขึ้น โดยวานนี้ (29 มกราคม 2563) มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์รายใหม่ 44 ราย จนถึงวันนี้มีผู้ป่วยสะสม 202 ราย มีทั้งที่คัดกรองได้ที่ด่าน ขอเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลด้วยตนเองและได้รับแจ้งจากที่พัก โรงแรม มัคคุเทศก์ ขอประชาชนอย่าตื่นตระหนก การเพิ่มจำนวนแสดงถึงประสิทธิภาพของการเฝ้าระวังควบคุมป้องกันของไทย ทั้งนี้การที่จะประกาศว่าผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค เป็นผู้ป่วยยืนยัน จะประกอบด้วย 1. มีประวัติการเดินทางจากประเทศระบาด (จีน) 2. มีอาการระบบทางเดินหายใจ ไข้ ไอ จาม น้ำมูก 3. ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการจาก 2 แห่ง ยืนยันตรงกัน 4. ผ่านการพิจารณาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข
“ณ วันนี้ ยังไม่มีผู้ป่วยยืนยันเพิ่มเติม หากได้ผลการตรวจยืนยัน เราจะรีบแจ้งให้ทราบทันที ไม่มีปิดบังข้อมูล ซึ่งผู้ที่สัมผัสกับผู้ป่วย เราได้ติดตามผู้สัมผัสผู้ป่วยทุกราย เข้ามาอยู่ในระบบตามมาตรฐานระดับสากล ประเทศไทยยังไม่พบการระบาด ประชาชนไม่ต้องตื่นตระหนก ให้ติดตามข่าวสารจากกระทรวงสาธารณสุข ขอให้ใช้ชีวิตประจำวันปกติ แต่ให้เพิ่มการระมัดระวัง ”
นายแพทย์สุขุม กล่าวต่อว่า ขณะนี้ได้มีการบูรณาการการทำงาน จากบุคลากรสังกัดกระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งทหาร ตำรวจ ช่วยให้การคัดกรองมีความครอบคลุมมากยิ่งขึ้น คนจีนทุกคนที่เดินทางเข้าประเทศ ต้องผ่านการตรวจวัดอุณหภูมิ สิ่งสำคัญประชาชนควรปฏิบัติตัวเหมือนเป็นโรคหวัดทั่วไป คือต้องทำให้ร่างกายแข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือด้วยน้ำสบู่หรือเจลล้างมือ และสวมหน้ากากอนามัย โดยประชาชนทั่วไปแนะนำให้ใช้หน้ากากอนามัยที่ทำจากผ้า ซักทำความสะอาดและนำกลับมาใช้ได้อีก ส่วนผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจที่ใช้หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ สวมให้ถูกวิธี นำด้านสีเขียวหรือด้านที่มีความมันไว้ด้านนอก
ด้าน นายแพทย์อัษฎางค์ รวยอาจิณ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวตอนหนึ่งในการประชุมแพทย์ทั่วประเทศในการประชุมเชิงปฏิบัติการเตรียมความพร้อมตอบโต้ภาวะฉุกเฉินกรณีโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่2019 ที่โรงแรมรามาการ์เด้น โดยมีแพทย์จากโรงพยาบาลจังหวัด โรงพยาบาลส่งเสริมสุภาพประจำตำบล สาธารณสุขจังหวัด ประมาณ 350 คน ว่า นักท่องเที่ยวชาวจีนผ่านดอนเมืองหรือสุวรรณภูมิตอนแรกอาจจะไม่มีไข้เกิดขึ้น นั่นคือส่วนหนึ่งของเคสที่เพิ่มเติมขึ้นมา และ 5-6 เคสที่อยู่ในไทย แล้วคนที่ไปสัมผัสมีอีกไหม แพร่เชื้อไปบ้างหรือเปล่า และชาวจีนไม่ได้มากับบริษัททัวร์เท่านั้น มาเอง มากับเพื่อนก็มี อาจจะมีบางส่วนที่มีเชื้อแต่ยังไม่มีอาการ นั่งแท็กซี่จากสนามบินเพื่อเดินทาง ซึ่งอาจจะกระจายเชื้อได้ทั้งสิ้น จึงอยากจะบอกว่าสิ่งเหล่านี้น่าจะเกิดขึ้นได้และเป็นเฟสต่อไปของประเทศไทย แต่ไม่ต้องตกใจเพราะนี่สิ่งปกติที่จะเกิดขึ้น เรามาคุยกันว่าเราจะรับมือกับมันอย่างไร
นายแพทย์อัษฎางค์ รวยอาจิณ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค
“การเตรียมพร้อมขณะนี้เราเฝ้าระวัง 5 สนามบินหลัก สิ่งที่ต้องคิดคือมีสนามบินนานาชาติอีกหลายแห่ง ทั้งหาดใหญ่ อุบลราชธานี อุดรธานี เชียงราย สิ่งที่ต้องคิดคือแล้วจุดเหล่านี้ต้องเตรียมพร้อมอะไรบ้าง และสมมติว่าชาวจีนที่มีเชื้อแต่กลับประเทศไม่ได้ ซึ่งเขาอาจจะอยู่กับที่หรือทัวร์ต่อ ลองคิดสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้ว่าไปเที่ยวที่ไหนต่อ อาทิ วัดล่องขุ่น จ.เชียงราย สวนนงนุช จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะต้องเตรียมเตรียมตัว และสิ่งที่ต้องเตรียมตัวต่อไปในเฟสที่ 3 คล้ายๆกับการเตรียมการไข้หวัดใหญ่ 2009 เพราะต่อจากนี้อาจจะมีเคสในกลุ่มอื่นๆ”
นายแพทย์อัษฎางค์ กล่าวถึงแนวทางเตรียมความพร้อมตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน ระดับพื้นที่ กรณี Imported cases หากดูเว็บไซต์ขององค์การอนามัยโลกหรือทางการจีน จะเห็นว่าแผนที่ของจีนแดงทั้งหมด และ 17 ประเทศพบเคสแล้ว และพื้นที่เสี่ยงอย่าคิดว่าเฉพาะจังหวัดที่มีสนามบินเท่านั้น แต่ต้องคิดว่าจังหวัดชายที่มีชายแดน เช่น ชายแดนแม่สาย จ.เชียงราย ชายแดนสระแก้ว ชายแดนมาเลเซีย เพราะกัมพูชาและมาเลเซียมีรายงานผู้ติดเชื้อแล้ว แต่จะสร้างความตระหนกเกินไป เพราะคนคนเดียวโอกาสจะน้อย แต่ก็ต้องป้องกัน
“ต้องสำรวจว่าจังหวัดของท่านมีชายแดนหรือไม่ มีแหล่งท่องเที่ยวที่เสี่ยงหรือไม่ ต้องแสกนว่ามีความเสี่ยงหรือไม่ แล้วเข้าไปจัดการดูแล ไม่ใช่พูดคุยกับสถานพยาบาล อาจจะต้องเข้าไปแนะนำว่าห้องน้ำ ราวบันไดเลื่อน ประตูห้องน้ำ ปุ่มกดลิฟท์ ก็ทำความสะอาด เพราะส่วนกลางก็พูดคุยกับ BTS และ MRT ว่าเขามีความเสี่ยงที่จะต้องทำความสะอาดบ่อยๆ”
น.พ.อัษฎางค์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของสถานศึกษาผู้บริหารต้องให้ความสำคัญกับกระบวนการเข้าแถวตอนเช้า ตตรวจเช็คนักเรียนด้วยว่าป่วยหรือไม่ ถ้ามีคนป่วยจำนวนมากจะต้องทำอย่างไร นอกจากนี้แล้วผู้สูงอายุและเด็กเล็กก็เป็นกลุ่มเสี่ยง ที่ภูมิคุ้มกันน้อย ดังนั้นเคสที่เกิดขึ้นมักเกิดขึ้นกับคนสูงอายุและเด็ก จึงขอให้ใช้ระบบผู้ติดตามเฝ้าระวังโดยใช้ อสม. และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเข้ามาช่วย(รพ.สต.)