พูดไปก็เปลืองน้ำลาย ฝุ่นพิษ มาตรการผลุบๆโผล่ๆ (1)

28 ม.ค. 2563 | 12:05 น.

 

รู้สึก...ท้อใจกับมาตรการลักปิดลักเปิด ไม่มีใครเอาจริงเอาจังเลย แม้ว่าจะมีข่าวแถลงโน่นนี่ตลอดเวลา พูดไปก็เปลืองน้ำลาย...แต่ก็ต้องพูดครับ เพราะท่านนายกรัฐมนตรีกล่าวไว้ว่า 

ท่านให้”ความสำคัญ”ต่อ สุขภาพคนไทย

แม้ว่ารัฐบาลที่มีพื้นฐานจากการบริหารโดยทหาร(ที่รัฐประหารมา)จะมีการตัดสินใจรวดเร็วไม่ต้องยึกยักเพราะไม่มีโอกาสเล่นพรรคเล่นพวกของกลุ่ม ส.ส. จะเห็นได้ชัดเจนอย่างไม่ต้องสงสัยคือ โครงการอภิมหารถไฟฟ้าขนส่งมวลชน สารพัดโครงการต่างถาโถม พร้อม ๆกันใน กทม. ไม่ว่าจะเดินทางไปไหนเราจะเห็นถนนที่ถูกลดพื้นที่รถวิ่ง แทนด้วยเสารับรถไฟฟ้า และงานก่อสร้างมากมาย รถติดทวีคูณ 

แต่ที่เด่นชัดมากคือ “ฝุ่นพิษ” ครับ 

ก่อนที่จะกล่าวถึง “ฝุ่นพิษPM 2.5” อีกครั้ง หลังจากที่กระผมเคยเขียนเรื่องนี้มาหลายครั้ง เพราะปัญหานี้ถี่เป็นมา 2 ปีแล้ว แม้จะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มันไม่สิ้นสุดนะสิครับ

ตอนนี้กระแสตื่นตระหนกเพิ่มขึ้นอีก จากไวรัสอู่ฮั่น หรือไวรัสโคโรนา มีความคล้ายกันตรงที่เป็นเรื่องกระทบต่อระบบหายใจเหมือนกัน เพราะเป็นเรื่องใหม่มากๆ ก็อยากกล่าวถึงเรื่องนี้แค่ว่า คนไทยไวต่อสิ่งเร้าแบบนี้จริง ๆ

กลับมาที่ “ฝุ่นพิษ PM 2.5”  มาตรการ กทม.ที่ให้ปิดโรงเรียน ผมว่ามันก็เป็นการแก้ปลายเหตุมั้ย เหลื่อมเวลาทำงานอีก การตั้งจุดตรวจวัดควันดำ ทั้ง ตำรวจ กทม.ก็ลงไม้ลงมือกันตอนนี้และทุกครั้งที่อาการ “กำเริบ” ก็จะเป็นแบบนี้ พอซา ทุกหน่วยงานก็หยุด กระทรวงสิ่งแวดล้อมก็ทำได้แค่รายงานสภาพอากาศให้ตระหนักหรือตระหนกกันแน่ก็ไม่ทราบ  ตัวเองไม่มีอำนาจ อ้าปากบอกอย่างเดียว 

แต่ว่าในกทม.น่ะ โครงการรถไฟฟ้าทั้งหลาย ล้วนสร้างฝุ่นมาผสมโรงอย่างมาก เพราะระดมสร้างพร้อมๆ กัน ล้วนเป็นผลงานเอกชน รถใหญ่เข้าเขต กทม.ทั่วไปหมด ซึ่งแต่ละคันก็ใช้ดีเซล ที่ล้วนปล่อยควันเสีย หน่วยงานเอกชนที่ได้รับสัมปทานหรือได้สิทธิ์โครงการ ควรมีความรับผิดชอบมากกว่านี้นะครับ 

                                                         พูดไปก็เปลืองน้ำลาย ฝุ่นพิษ มาตรการผลุบๆโผล่ๆ (1)

 

ลองคิดดูมองภาพตามผมนะครับ 

ผมเดินทางเส้นรามคำแหง ศรีนครินทร์ ไปทำงานทุกวัน ผมไม่เห็นว่าจะมีรถน้ำ ทำความสะอาดถนนที่พนักงานที่รับเหมาก่อสร้าง สร้างฝุ่น หรือแม้แต่การติดตั้งเครื่องพ่นละลองน้ำ เพื่อลดฝุ่น แต่ดูเหมือนผมจะเห็นครั้งหนึง ครั้งเดียวจริงๆ ที่มีการติดท่อปล่อยละอองน้ำ บริเวณถนนรามคำแหง มุ่งไปมีนบุรี ใกล้ๆบ้านผม 

หลังจากนั้นก็ไม่มีอีกเลย 

ผมไม่ทราบว่าในการอนุมัติโครงการให้เอกชนก่อสร้าง มีข้อกำหนดเรื่องฝุ่นจากการก่อสร้างและยานพาหนะที่นำมาใช้ในงานก่อสร้างมั้ย ว่าให้เอกชนรับผิดชอบเรื่องนี้ด้วย รับประโยชน์ไปกี่ร้อยล้าน แค่รถน้ำ ทำความสะอาดถนนบริเวณก่อสร้าง หรือติดตั้งเครื่องพ่นละลองน้ำ เพื่อลดฝุ่น ไม่น่าจะเปลืองขนหน้าแข้งผู้รับเหมา และยังจะดีต่อสุขภาพของพนักงานและประชาชนทั่วไป 

ผมอยากให้ผู้รับเหมาเห็นใจบ้าง แต่ผมรู้สึกว่าพวกเขาเช้ยเฉย

“จมูกมนุษย์ทำงานที่ต้องอาศัยขึ้นรถสองแถว รถเมล์ร้อน รถเมล์ปรับอากาศบ้าง ระหว่างคอยรถ ก็สูดกันเข้าไปสิครับ ใส่หน้ากาก ก็ต้องเสียตังค์ซื้ออีก เด็กๆอีกล่ะครับ คนรากหญ้ากับคนทำงานที่ไม่มีรถเก๋งรับเคราะห์เต็มๆ จนจบงานรถไฟฟ้า” 

ผมว่าก็ใช่ว่า คนรากหญ้ากับคนทำงานที่ไม่มีรถเก๋ง จะจมูกปลอดโปร่งนะครับ คือ เงินไม่มีจะขึ้นรถไฟฟ้าน่ะครับ ราคาที่ทราบๆมา ไม่ต่ำกว่า 15-20 บาท แหละ ก็ต้องรถสองแถว 8 บาทเหมือนเดิม ต่อรถร้อน 8-10 บาทเหมือนเดิม

ผมเห็นข่าวตำรวจจราจร ตรวจจับรถควันดำเหยงๆ ผมเข้าใจนะครับว่าเขาก็พยายามทำตามหน้าที่เต็มที่ แต่มันก็ปลายเหตุอีกมั้ยครับ แค่ปรับ ส่วนหน่วยงานตำรวจนครบาลก็รณรงค์ป้องกันปัญหาก็ดีอยู่ครับ แต่ก็ปลายเหตุอีกมั้ยล่ะ 

นี่แค่ กทม.นะครับปัญหาฝุ่น ทำแบบปัดฝุ่นกันไป

                                        พูดไปก็เปลืองน้ำลาย ฝุ่นพิษ มาตรการผลุบๆโผล่ๆ (1)

 

ส่วนบริเวณใกล้เคียง ปริมณฑล ก็มีหน่วยงานราชการ เช่น เทศบาล ช่วยกันนำรถดับเพลิงมาฉีดน้ำบนถนนบ้าง ก็ถือว่าช่วย ๆกันลดปัญหา แต่การแก้ปัญหาก็ไม่ตรงจุดสักทีนะผมว่า

ปัญหา ฝุ่นพิเศษตัวนี้ ไม่ใช่มีแค่ กทม. แต่มันมีปัญหาหลายพื้นที่ในประเทศ โดยเฉพาะในเมืองหลวง หรือมหานคร ตลอดจนเมืองใหญ่ที่มีการทำเกษตรกรรม แบบเผาป่า ล่าสุดทราบข่าวว่าท่านนายกรัฐมนตรี ได้ตั้งวอร์รูมแก้ปัญหา แบบว่าจะจ่ายยาแรง ท่านกล่าวว่าจะรับกันได้มั้ย  ...

รับอะไร ? ครับท่าน มันต้องยิ่งกว่าต้องทำแล้วล่ะครับ ต้องเด็ดขาดเหมือนทหารสิครับท่าน

จริงครับปัญหา “ฝุ่นพิษ PM 2.5” รัฐบาลกำหนดเป็นวาระแห่งชาตินานแล้ว ครม.อนุมัติแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหารับมือฝุ่นละอองปี2562-2567 ไปแล้ว นายกรัฐมนตรีท่านว่า แต่มาตรการที่ออกมาทำอย่างไรให้ยอมรับ ไม่เช่นนั้นก็ถูกต่อต้าน กฎหมายมีทุกตัว แต่กฎหมายพื้นฐานบางอันบังคับใช้ยาก แต่เห็นในการแถลงข่าวว่าถ้าเกิดวิกฤตินายกรัฐมนตรีจะลงมาเป็นประธานบัญชาการด้วยตัวเอง 

ผมว่าตอนนี้ก็น้อง ๆวิกฤติแล้วนะ 

น่าจะตั้งหน่วยงานวอร์รูมจริงๆเลย แบบเฉพาะกิจที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระดมสรรพกำลัง มีนายกรัฐมนตรีสั่งการ เหมือนตอนรัฐบาลยุคคสช.ก็ดีนะครับ 

ไม่ใช่รอใช้กฎหมาย ซึ่งแต่ละหน่วยงานถ้าต่างแยกกันทำก็เป็นอีหรอบเดิมแหละครับ เพราะแต่ละหน่วยงานก็จะอ้างไม่มีอำนาจ หรือใช้กฎหมายได้เฉพาะที่มีอำนาจ

ที่เขียนมายืดยาวนี้ ไม่ใช่อะไรครับ 

อยากบอกว่า ฝุ่นพิษPM 2.5 ไม่ใช่แค่ฝุ่นจิ๋ว ธรรมดา... นะเธอ นอกจากฝุ่นธรรมดาที่ทำให้เกิดร่างกายอ่อนแอ แต่มันแฝงภัยร้ายมากมาย เป็นฆาตกรซ่อนเร้นที่จะทำร้ายเราได้อีกสารพัดโรค  ไว้ติดตามตอนต่อไป นะครับ...

 

คอลัมน์ปฏิกิริยา 

โดย : บิ๊กอ๊อด ปากพนัง