ถ้าผมเป็น”ลุงตู่” ผมจะรับมือไวรัสอู่ฮั่น แบบนี้

26 ม.ค. 2563 | 03:24 น.

 

ผศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้แสดงความเห็นถึงแนวทางรับมือกับไวรัสโคโรนา โดยสมมุติตัวเองเป็น นายกฯลุงตู่ แล้วจะรับมือกับไวรัสอู่ฮั่น แบบนี้

 

1. ผมจะตั้ง #Warroom แน่นอนว่าปัจจุบันมี war room อยู่แล้วที่กระทรวงสาธารณสุข และคุณหมอรวมทั้งบุคลากรทางแพทย์ทุกท่านต่างก็มีความรู้ความสามารถ ทำงานรอบคอบ กล้าตัดสินใจ และหลายๆ ท่านก็เคยมีประสบการณ์มาตั้งแต่สมัย #SARS (2002-2003) #ไข้หวัดนก (H1N1, 2003, 2009) #MERS (2012-2013) และ #อีโบลา (2014) แต่วิกฤติคราวนี้หากลุกลาม การสั่งการและการประสานงานข้ามกระทรวง กรม และภาคเอกชน จำเป็นต้องเกิดขึ้น

 

 ผมจะต้องให้มีตัวแทนทั้งจาก #กระทรวงสาธารณสุข (แน่นอนเป็นรองหัวหน้า รองจากผมที่เป็นนายกฯ) จากนั้นต้องมีตัวแทนจาก #กระทรวงคมนาคม #กระทรวงศึกษาฯ #กระทรวงการท่องเที่ยวฯ #กระทรวงพาณิชย์ #กระทรวงการต่างประเทศ #กระทรวงแรงงาน #สำนักงานตำรวจแห่งชาติ #กทม. #การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย #กรมประชาสัมพันธ์ สมาคมโรงแรมต่าง ๆ สมาคมท่องเที่ยวต่าง ๆ เป็นต้น มาร่วมกันทำงาน โดยผมต้องมอบอำนาจให้คณะกรรมการบริหาร War room มีอำนาจในการตัดสินใจสั่งงานข้ามกระทรวงได้ เมื่อมี War room ผมจะให้การแจ้งข่าวสารต่าง ๆ มาจากจุดเดียวกันเพื่อป้องกัน #FakeNews ที่อาจสร้างความตื่นตระหนก รวมทั้งต้องมีการจัดตั้งหมายเลขโทรศัพท์ #Hotline และเครื่องมือ Social Media ต่างๆ เพื่อรับแจ้งเหตุ และใช้ในการ #บริหารข่าวสารข้อมูล

 

2. ผมจะสั่งให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานตำรวจแห่งชาตินำข้อมูลจำนวน ชาวจีน และผู้ที่เดินทางมาจากสนามบินต่าง ๆ ของประเทศจีน มาวิเคราะห์ว่าตั้งแต่ช่วงกลางเดือนธันวาคม 2019 ที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบันมีเดินทางเข้ามากี่คน แน่นอนว่าระบบตรวจคนเข้าเข้าเมืองของไทยมีการบันทึกฐานข้อมูล Biometric ในระบบคอมพิวเตอร์ ทั้งขาเข้าและขาออก

 

ดังนั้นต้องให้มีข้อมูลที่แน่ชัดเสียก่อนว่า จนถึงวันนี้ มีคนที่เดินทางจากประเทศจีน โดยเฉพาะหากผ่านมาจาก Wuhan Tianhe International Airport #ยังคงตกค้างอยู่ในประเทศไทยจำนวนกี่ราย ไปเอาข้อมูลที่พวกเขากรอกแบบฟอร์ม ตม.6 ที่ใช้ในการเข้าเมืองมาพิจารณาว่า คนเหล่านี้ปัจจุบันน่าจะอยู่ ณ ที่อยู่ไหน ต้องมีการเตรียมฐานข้อมูลเหล่านี้เอาไว้ 

ถ้าผมเป็น”ลุงตู่” ผมจะรับมือไวรัสอู่ฮั่น แบบนี้

 

3. ขอความร่วมมือจาก #สมาคมโรงแรม #สมาคมท่องเที่ยว โดยเฉพาะที่ขายโปรแกรมการท่องเที่ยวแบบ In-bound ให้ติดตามดูอย่างใกล้ชิดว่า ลูกทัวร์ของแต่ละบริษัท #แขกที่เข้าพักในโรงแรมมีใครแสดงอาการป่วยหรือไม่ ถ้ามีต้องแจ้งสาธารณสุข รวมทั้งต้องกลับไปที่ข้อ 2 เพื่อไป Trace หาว่า ในการเดินทางของพวกเขา ยังมีใครที่อยู่เที่ยวบินเดียวกัน โรงแรมเดียวกัน หรือมีปฏิสัมพันธ์กับใครบ้าง เพื่อควบคุมโรค ในกรณีที่มีการเจ็บป่วยด้วย Novel coronavirus (2019-nCoV) เกิดขึ้น

 

4. แน่นอนว่าในจำนวนผู้ที่เดินทางเข้ามาไม่ได้มีแต่เฉพาะนักท่องเที่ยว ยังมีผู้ที่เดินทางมาทำงาน และมาเรียนหนังสือ ดังนั้นต้องประสานจากข้อมูลของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ว่าเขาใช้ #Visa ประเภทใดในการเข้าประเทศไทย ถ้าเป็น Working Visa ก็ต้องประสานกับกระทรวงแรงงานว่า #WorkPermit ¬ของเขาอยู่ที่ไหน เพื่อติดตามไปยังบริษัทที่เข้ามาทำงาน ถ้าเป็น #StudentVisa ก็ต้องติดต่อไปที่กระทรวงการต่างประเทศว่า เขาไปเรียนอยู่ที่ #สถาบันการศึกษา แห่งใด

 

5. ต้องให้กระทรวงการท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวต่าง ๆ สำรวจดูว่าในกลุ่มทัวร์ ใน #โรงแรม ในสถานที่ท่องเที่ยวมีรายงานผู้เจ็บป่วยหรือไม่ หากมีต้องรีบแจ้งต่อ War room กระทรวงสาธารณสุข

 

6. ต้องเร่งประสานงานกับกระทรวงต่าง ๆ ทางด้านเศรษฐกิจ เพราะหากการแพร่ระบาดเกิดขึ้นในระยะยาว จะ #ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจ อย่างแน่นอน จำคราวที่เกิด SARS ระบาดในปี 2002-2003 ได้หรือไม่ ครั้งนั้น ทุกคนแตกตื่น ไม่มีใครกล้าออกไปอยู่ในที่ที่มีคนรวมกันอยู่มากๆ ห้างร้านต่างๆ ตามศูนย์การค้า ตามตลาด ตามสถานที่ท่องเที่ยว กลายเป็นป่าช้า ธุรกิจหลายรายได้รับผลกระทบอย่างยิ่ง

 

โรคติดต่อที่มีแนวโน้มติดต่อทางลมหายใจ จะส่งผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การค้าส่ง ค้าปลีก รวมทั้งภาคบริการต่างๆ โรงแรม ร้านอาหาร สปา นวด จะได้รับผลกระทบ หากเราสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ ป้องกันจนไม่เกิดผู้ป่วยรายใหม่ได้ เราน่าจะต้องใช้การรับมือที่ดีนี้เป็นจุดขายในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว แต่หากสถานการณ์การแพร่ระบาดรุนแรงขึ้น เราจะมี #มาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ซบเซาได้อย่างไร คงต้องให้ #กระทรวงด้านเศรษฐกิจช่ วยกันวางแผน

ถ้าผมเป็น”ลุงตู่” ผมจะรับมือไวรัสอู่ฮั่น แบบนี้

 

7. ผมจะให้ #ศูนย์แพทย์ทหารอาเซียน (#ASEAN Center Of Military Medicine: #ACMM) ซึ่งอยู่ในความดูแลของกรมการแพทย์ทหารบกเตรียมความพร้อมบุคลากร อาจต้องส่งบุคลากรส่วนหนึ่งไปประเทศจีน ทั้งเพื่อช่วยเหลือบรรเทาสถานการณ์ในจีน และในขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างสายสัมพันธ์ Network ที่ดีเอาไว้ เพื่อแน่นอน ทางจีนย่อมมีความรู้ความเชี่ยวชาญมากกว่าในการจัดการกับโรค

 

เราจะได้ Technology Transfer วิธีการรักษา และการบริหารจัดการมาใช้ประโยชน์หากเกิดการระบาดในไทย โดยงานนี้ต้องมีกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ประสานงาน ในขณะที่บุคลากรอีกส่วนหนึ่งคงต้อง Stand-by พร้อมช่วยเหลือเพื่อนบ้านอาเซียน ซึ่งหลายประเทศมีระดับการพัฒนาที่ต่ำกว่าไทย และไม่มีบุคลากรทางการแพทย์เพียงพอ นอกจากนั้นต้องสำรวจว่าวัสดุอุปกรณ์ช่วยเหลือต่าง ๆ ที่เก็บไว้ที่ #คลังเก็บสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัยของอาเซียนในประเทศไทย (Disaster Emergency Logistics System for ASEAN: #DELSA) ที่จังหวัดชัยนาท ยังมีความพร้อมหรือไม่ หากจำเป็นต้องใช้

 

 

8. เราต้องโชว์บทบาทผู้นำในประชาคมอาเซียน ผมจะให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข ศึกษาแนวทางจากประสบการณ์ที่ผ่านมาในการจัดประชุม #ประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุข #อาเซียนบวกสาม #สมัยพิเศษ ว่าด้วยการเตรียมความพร้อมและรับมือการระบาดของโรค (ถ้าจำเป็นอาจต้องถึงระดับ #ประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนบวกสาม สมัยพิเศษ)

 

เพราะการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคที่ดีต้องมีการคัดกรองตั้งแต่ประเทศต้นทาง ร่วมกับประเทศปลายทาง รวมทั้งต้องมีระบบการรับมือ การถ่ายทอดองค์ความรู้ รวมทั้งการวิจัยและพัฒนาเพื่อหารแนวทางป้องกัน และรักษาร่วมกัน

ถ้าผมเป็น”ลุงตู่” ผมจะรับมือไวรัสอู่ฮั่น แบบนี้

 

9. ผมจะให้กระทรวงศึกษา ทำ #คู่มือ #แผ่นพับ #โปสเตอร์ และสื่อต่างๆ เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ในการป้องกันตนเองจากโรคติดต่อให้กับนักเรียนในโรงเรียนต่าง ๆ รวมทั้งประชาชนทั่วไปด้วย

 

10. ผมจะให้ #กรมประชาสัมพันธ์ และขอความร่วมมือจากสื่อต่างๆ ในการเรื่องของการสื่อสาร การทำความเข้าใจอย่างถูกต้องเกี่ยวกับสถานการณ์ เพราะในภาวะวิกฤต Fake News การปลุกกระแส รวมทั้ง #HateSpeech เช่น ต่อต้านนักท่องเที่ยวจีน เกลียดกลัวคนที่อาจจะป่วยด้วยโรคอื่นๆ จนเกิดความรุนแรงจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ

 

ดังนั้นต้องช่วยกันให้ข้อมูลที่ถูกต้อง มี #Mindset ที่ถูกต้อง รักษาจุดแข็งของไทยเรื่องจิตใจ #Hospitality เอาไว้ให้ได้ เพราะเรายังต้องพึ่งพาการท่องเที่ยว เรายังต้องพึ่งพาชาวต่างชาติอยู่ในอีกหลากหลายมิติ

 

11. ผมจะขอให้ กทม. และหน่วยงานปกครองท้องถิ่นต่าง ๆ ออกสำรวจ เรื่อง  #สุขลักษณะของชุมชน โดยเฉพาะในพื้นที่ๆ คนจะไปอาศัยอยู่เยอะ เช่น ตลาด โรงหนัง ชุมชนแออัด ว่าระบบการไหลเวียนของอากาศ การทำความสะอาด คุณภาพชีวิตของคนเป็นอย่างไร เพราะโรคทางเดินหายใจ จะแพร่ได้ง่ายในที่ที่คนอาศัยกันอยู่อย่างแออัดและมีสุขลักษณะที่ไม่ดี รวมทั้งให้มีการสร้าง #CleanRoom เตรียมการเอาไว้หากมีการแพร่ระบาด เพื่อให้กลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ป่วย เด็ก คนชรา ได้ใช้ก่อน

 

12. ผมจะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการ #กักตุนสินค้า และ #การคุ้มครองผู้บริโภค ออกตรวจตราระมัดระวังให้ภายในประเทศไทยยังมี #หน้ากากอนามัย #เครื่องกรองอากาศ และ #อุปกรณ์ป้องกัน ต่างๆ มากเพียงพอให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ โดยไม่มีใครมา #ฉกฉวยโอกาส แสวงหากำไร โขกสับราคา เพราะปัจจุบันเริ่มเห็นแล้วที่เตรียมหาโอกาสโดยการกว้างซื้อสินค้าไปขายต่อทำกำไรที่ประเทศจีน

 

13. ผมจะเริ่มใช้ #AI และ #Machine Learning ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญทางด้าน #ระบาดวิทยา และ #เศรษฐศาสตร์สาธารณสุข มาวิเคราะห์ข้อมูลการระบาดของ Corona Virus ครั้งที่ผ่าน ๆ มาโดยเฉพาะ SARS 2002-2003 เพื่อเปรียบเทียบหาความเหมือน ความต่าง หารูปแบบการระบาด เพื่อวางแนวทางในการรับมือ ป้องกัน และรักษาในอนาคต รวมทั้ง #วิเคราะห์ผลกระทบ ที่จะเกิดขึ้นกับทั้ง เศรษฐกิจ และสังคม ของประเทศ