บลจ.ไทยพาณิชย์ เตรียมจ่ายปันผล 3 LTF

20 ม.ค. 2563 | 12:03 น.

บลจ.ไทยพาณิชย์ จ่ายปันผล LTFส่งท้าย 3 กองรวด SCBLT1-SCBLT4 –SCBLTT มูลค่ารวมกว่า 222 ล้านบาท

นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัดเปิดเผยว่า บริษัทเตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF) 3 กองทุน สำหรับผลการดำเนินงานระหว่าง 1 กรกฎาคม - 31 ธันวาคม 2562 รวมมูลค่า 222ล้านบาท โดยจะจ่ายให้กับผู้ถือหน่วยในวันที่ 21 มกราคมนี้คือ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวปันผล 70/30(SCBLT1) ในอัตรา 0.1000 บาทต่อหน่วย นับเป็นครั้งที่ 24 รวมเป็นเงินปันผล 5.3350 บาทต่อหน่วย โดยกองทุนนี้เน้นลงทุนหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีนโยบายหรือจ่ายปันผลอยางสม่ำเสมอ เฉลี่ยในปีบัญชีไม่น้อยกว่า 65% และไม่เกิน 70% ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนรวม

บลจ.ไทยพาณิชย์ เตรียมจ่ายปันผล 3 LTF

กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวอินเตอร์(SCBLT4) อัตรา 0.1000 บาทต่อหน่วย นับเป็นครั้งที่ 16 รวมเป็นเงินปันผล 3.2200 บาทต่อหน่วย มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นสามัญที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีพื้นฐานดี มั่นคง มีแนวโน้มเจริญเติบโตสูงไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนรวม และมีนโยบายลงทุนในต่างประเทศไม่เกินกว่า 35% ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนรวม

และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวทาร์เก็ต (SCBLTT) ในอัตรา 0.1400 บาทต่อหน่วย นับเป็นครั้งที่ 19 รวมเงินปันผล 4.500 บาทต่อหน่วย เน้นลงทุนในหุ้นสามัญที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีพื้นฐานดี มั่นคง และมีแนวโน้มเจริญเติบโตสูง ไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนรวม

ทั้งนี้ บลจ.ไทยพาณิชย์ มองภาพรวมตลาดหุ้นไทยในปี 2563ว่า ยังคงมีปัจจัยที่ยังส่งผลกระทบต่อการลงทุน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากปัจจัยต่างประเทศคือ การเจรจาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนเฟสที่ 2 และ 3 สงครามระหว่างสหรัฐฯ -อิหร่าน การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในช่วงปลายปี รวมถึงการชุมนุมทางการเมืองของประเทศไทย ซึ่งอาจจะส่งผลทำให้ตลาดผันผวนได้ค่อนข้างมาก

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกที่คาดว่า จะช่วยสนับสนุนสกภาวะเศรษฐกิจโลกให้ปรับตัวดีขึ้นคือ ดัชนีภาคการผลิตสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และนโยบายการเงินของธนาคารกลางประเทศหลักของโลกที่ดำเนินมาตรการอัดฉีดสภาพคล่อง ซึ่งจะช่วยจำกัดความเสี่ยงภาวะถดถอย ประกอบกับสหรัฐฯ และจีนสามารถลงนามข้อตกลงการค้า และคาดว่าภาคการส่งออกของประเทศในภูมิภาคเอเชียจะกลับมาฟื้นตัวได้จากการธนาคารกลางจีนกระตุ้นการขยายตัวของสินเชื่อภายในประเทศ