ลุ้น "บิ๊กตู่" ดึง "กรณ์" ช่วยงานเศรษฐกิจ

19 ม.ค. 2563 | 03:30 น.

คอลัมน์ฐานโซไซตี ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3541 หน้า 4 ระหว่างวันที่19-22 ม.ค.63 โดย... ว.เชิงดอย

 

ลุ้น "บิ๊กตู่" ดึง "กรณ์" ช่วยงานเศรษฐกิจ

 

     .... “ผมมีความฝันที่อยากจะสร้างการเมืองแห่งความเปลี่ยนแปลง การเมืองที่กล้าคิด กล้าทำ มีความรอบคอบแต่ไร้ความกลัว มีความเด็ดเดี่ยวแต่มีคุณธรรม เป็นการเมืองที่จะชวนผู้คนในสังคมไทยที่มีศักยภาพ มาร่วมกันออกแบบและขับเคลื่อนประเทศไทยไปด้วยกัน” กรณ์ จาติกวณิช อดีตรมว.คลัง ให้เหตุผลส่วนหนึ่งถึงการตัดสินใจลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ หลังจากได้รับโอกาสให้เข้าร่วมงานกับพรรคมาเป็นเวลาร่วม 15 ปี นับแต่ปี 2548

     .... กรณ์ จาติกวณิช ประกาศชัดเจนว่าแม้เขาจะลาออกจากประชาธิปัตย์ ก็ยังไม่ทิ้งงานการเมือง แต่ตลอดเวลาที่ทำงานการเมืองมาได้มีส่วนร่วมกับประชาชนหลากหลายกลุ่ม ทำให้เขาได้มองเห็นประเทศไทยและสังคมการเมืองไทยในภาพที่กว้างขึ้นและลึกขึ้น ประสบการณ์เหล่านั้นทำให้เขาตัดสินใจเดินหน้าสร้างทางเลือกทางการเมืองที่คนไทยแสวงหา เป็นการเมืองที่ต้องกล้าคิด กล้าทำ กล้าแม้แต่จะพลั้งพลาด และเป็นการเมืองที่มั่นใจในศักยภาพของคนไทย เป็นการเมืองที่มีเป้าหมายเปลี่ยนแปลงประเทศในหลากหลายมิติ ด้วยความเชื่อว่าหากเราไม่กล้าเปลี่ยน ไม่กล้าท้าทายตัวเอง คนไทยจะลำบาก เพราะเราจะแข่งขันไม่ได้

 

     .... เบื้องต้น “ว.เชิงดอย” ทราบมาว่า กรณ์ จาติกวณิช จะดำเนินการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาใหม่ เน้นเป็น “พรรคสร้างชาติ” ซึ่งเจ้าตัวจะนั่งเป็นหัวหน้าพรรคเอง และได้ทาบทามดึง “โจ-ธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินไทยแอร์เอเชีย มานั่งเป็นเลขาธิการพรรค โดยจะทำให้เป็นพรรคของคนรุ่นใหม่ ดึงผู้บริหารธุรกิจสตาร์ตอัพ ฟินเทค ผู้นำธุรกิจในแต่ละสาย รวมถึงแกนนำชุมชนที่ต้องการทำงานเพื่อชุมชน ให้เข้าร่วมงาน พรรคใหม่จะไม่ดึงหรือดูดส.ส.จากพรรคอื่น ไม่ซื้อตัวส.ส. และมีเป้าหมายในการลงเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงของประชาชนทั้งประเทศ ซึ่ง กรณ์ จาติกวณิช มีเวลาปลุกปลํ้าพรรคใหม่นี้ราว 3 ปี ก่อนที่จะลงสู่สนามเลือกตั้ง (หากรัฐบาลอยู่ครบเทอม) ในครั้งต่อไป

     ....กระนั้นก็ตาม หลังจาก กรณ์ จาติกวณิช ได้พ้นพันธนาการจากพรรคประชาธิปัตย์ เป็น “อิสระ” แล้ว ด้วยความรอบรู้และเชี่ยวชาญในเรื่องเศรษฐกิจ ทำให้เป็นที่หมายตาจากคนใน “รัฐบาลลุงตู่” ที่ต้องการอยากให้เข้ามาเป็นตัวเสริมช่วยงาน จนนำไปสู่การหารือกันของ 3 ผู้ยิ่งใหญ่ในรัฐบาล ประกอบด้วย ลุงตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม, บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ด้านเศรษฐกิจ

     .... มีคำถามว่าหากรัฐบาลลุงตู่ ดึง กรณ์ เข้ามาร่วมช่วยงานด้านเศรษฐกิจ แล้วจะไม่มีปัญหากับ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ หรือ? มีพรายกระซิบ “ว.เชิงดอย” ว่า สมคิด ตอบกับนายกฯ และ บิ๊กป้อม ว่า “ไม่มีปัญหา” ... มาถึงตอนนี้ทำให้ กรณ์ เป็นอีกตัวเลือกหนึ่ง ที่ “รัฐบาลลุงตู่” อาจจะส่งเทียบเชิญให้เข้าช่วยงานด้านเศรษฐกิจตอนไหนก็ได้... ต้องจับตาดูกันต่อไป

     .... หันไปดูเรื่องที่มีการกล่าวหาและตั้งข้อสงสัยว่า อาจจะมีการทุจริตเกิดขึ้นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยเฉพาะ “โครงการไบโอเมทริกซ์” ที่มีการจัดซื้อกันแพงเกินจริงหรือไม่ ซึ่งมีการยื่นเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว

 

     .... ล่าสุด ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้จัดซื้อเครื่อง Biometrics จำนวน 1,843 ชุด แบ่งเป็น เครื่องจัดเก็บข้อมูล Biometrics (ลายนิ้วมือและภาพถ่าย) รวม 1,303 ชุด เครื่องจัดเก็บข้อมูลBiometrics (ลายนิ้วมือและภาพถ่าย)+พร้อมจอภาพ รวม 540 ชุด โดยเครื่องอ่านลายพิมพ์นิ้วมือ และภาพถ่าย จัดซื้อราคาชุดละ 280,000 บาท และถ้าเพิ่มจอภาพราคาจะขยับขึ้นเป็นชุดละ 650,000 บาท เมื่อตรวจสอบราคาแล้วพบว่า เครื่องถ่ายภาพใบหน้า ยี่ห้อ Logitech ที่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติสั่งซื้อมีขายทั่วไป กระทั่งใน ลาซาด้า ซึ่งเป็นเว็บซื้อของออนไลน์ ราคาเครื่องละ 7,590 บาท และเครื่องอ่านลายนิ้วมือ ไม่มีขายทั่วไปแต่มีขายในเว็บต่างประเทศ ซึ่งขายกันในราคา 1,299$ หรือคิดเป็นเงินไทยไม่เกิน 40,000 บาท

     .... เมื่อรวมราคาเครื่องอ่านลายนิ้วมือและภาพถ่ายจะมีราคา 47,590 บาท จำนวน 1,303 ชุด รวมเป็นเงิน 62,009,770 บาท แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติซื้อมาในราคา 280,000 บาท เงินส่วนต่างตรงนี้ร่วม 302,830,230 บาท เมื่อตรวจสอบชุดที่มี +จอภาพเพิ่มขึ้นมา 540 ชุด ราคาท้องตลาดจอภาพไม่เกิน 10,000 บาท ให้แพงเต็มที่ 20,000 บาท x 540 ชุด = 10,800,000 บาท เมื่อนำมารวมกับเครื่องอ่านลายนิ้วมือและภาพถ่าย 25,698,600 บาท ชุดนี้จะราคา 36,498,600 บาท แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติซื้อมาในราคา 351,000,000 บาท ส่วนต่างเพิ่มไปอีก 314,501,400 บาท

     .... ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด บอกว่า เท่าที่ทราบในจำนวน 1,843 ชุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดซื้อเครื่อง Biometrics ให้กับตำรวจหน่วยงานอื่นที่ไม่เกี่ยวกับคนเข้าหรือออกประเทศถึง 200 ชุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องตอบประชาชนผู้เสียภาษีถึงเรื่องความคุ้มค่าด้วย นี่ยังไม่รวมอุปกรณ์ อื่นๆ ที่กำลังตรวจสอบ หากสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะตอบว่ามันคนละแบบ หรือคนละฟังก์ชัน แม้จะเป็นรุ่นเดียวกัน ช่วยออกมาตอบข้อสงสัยของสังคมด้วย แต่ทุกคำตอบจะเป็นหลักฐานสำคัญของป.ป.ช. ที่จะเอาผิดกับคนที่ทุจริตโกงกินบ้านเมือง ให้รับโทษแม้จะใหญ่แค่ไหนก็ตาม ...นี่เป็นเพียงข้อมูลของฝ่ายที่ตรวจสอบ ส่วนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีข้อมูลหักล้าง หรือโต้แย้งอย่างไร ก็งัดออกมาสู้กัน จะไม่ได้หาว่า “ฟังความข้างเดียว” แต่ทั้งหมดทั้งปวง “ป.ป.ช.” จะเป็นตัวกลางที่พิสูจน์เรื่องนี้ว่า ใครผิด-ใครถูก..