14 มกราคม 2563 ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ตามที่ประเทศไทยได้ลงนามในข้อตกลงการค้าเสรีกับประเทศออสเตรเลีย (The Thailand-Australia Free Trade Agreement: TAFTA) และความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นไทย-นิวซีแลนด์ (Thailand-New Zealand Closer Economic Partnership Agreement: TNZEP) และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ต้นปี 2548 ครอบคลุมธุรกิจทั้งในประเด็นการค้าสินค้า มาตรการปกป้องพิเศษ กฎแหล่งกำเนิดสินค้า มาตรฐานสินค้าอุตสาหกรรม บริการและการลงทุน แต่ในส่วนของสินค้าเกษตรบางรายการที่เป็นสินค้าอ่อนไหวจะใช้โควต้าภาษีเพื่อลดผลกระทบกับเกษตรกร ซึ่งอัตราภาษีจะลดลงเรื่อย ๆ เพื่อปรับเข้าสู่การเปิดเสรีอย่างสมบูรณ์ กล่าวคือ ไม่จำกัดปริมาณนำเข้าและอัตราภาษีเป็นศูนย์
ในปี 2563 สินค้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ หอมหัวใหญ่ และมันฝรั่ง หัวพันธุ์มันฝรั่ง มีกำหนดเปิดเสรีอย่างสมบูรณ์ และเพื่อให้มีแนวทางที่ชัดเจนในการปฏิบัติตามพันธกรณีดังกล่าว ครม.จึงเห็นชอบแนวทางการบริหารการนำเข้าสินค้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ หอมหัวใหญ่ มันฝรั่ง และหัวพันธุ์มันฝรั่ง ภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย และไทย-นิวซีแลนด์ ตามที่กระทรวงเกษตรฯโดย คณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาเกษตรกรนำเสนอ มีสาระสำคัญ คือ
1.ผู้นำเข้าต้องเป็นนิติบุคคลที่ขึ้นทะเบียนเป็นผู้นำเข้าสินค้าเกษตรนั้นๆ (เมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่/หอมหัวใหญ่/มันฝรั่ง/หัวพันธุ์มันฝรั่ง) ไว้กับกรมการค้าต่างประเทศเป็นรายปี ตามแบบคำขอขึ้นทะเบียนที่กำหนด
2.ผู้นำเข้าต้องขอหนังสือรับรองแสดงการได้รับสิทธิชำระภาษีตามความตกลงการค้าเสรี
3.ให้นำเข้าเฉพาะกรณีที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในการผลิตและแปรรูปในกิจการตนเอง และห้ามจำหน่ายจ่ายโอน
4.ให้นำเข้าทางด่านศุลกากรที่มีด่านตรวจพืชและด่านอาหารและยา
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรฯได้ทำการศึกษาผลกระทบจากการเปิดเสรีของสินค้าทั้งสี่ชนิดนี้ เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อประเทศไทยมากนัก ซึ่งทางกระทรวงเกษตรฯได้ดำเนินการควบคู่ไปกับการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และคุณภาพการผลิตของเกษตรกร ทั้งการพัฒนาเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่และหัวพันธุ์มันฝรั่ง และการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีทางการผลิตผ่านโครงการSmart farmers