นักวิชาการ หนุนเก็บภาษีบุหรี่อัตราเดียว 40%

14 ม.ค. 2563 | 10:26 น.

นักวิชาการ มธ. แนะรัฐแก้ปัญหาภาษีบุหรี่แบบยั่งยืน จัดทำแผนปรับอัตราภาษีเป็นอัตราเดียวแบบเป็นขั้นเป็นตอน  ย้ำหลายอัตราจะเกิดช่องว่างทางทำให้เสียภาษีในอัตราที่ถูกกว่า     

 

 หลังจากการที่กรมสรรพสามิตเตรียมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงการปรับขึ้นภาษีบุหรี่เป็นอัตราเดียว 40% ในวันที่ 1 ตุลาคม 2563 ว่ามีความจำเป็นต้องขยายเวลาออกไปอีกหรือไม่ เพราะทั้งผู้ประกอบการ ได้แก่ การยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) และเกษตรกรชาวไร่ยาสูบ ไม่ต้องการให้ปรับขึ้น เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อยอดขายบุหรี่อย่างรุนแรง และส่งผลให้เกษตรกรได้รับความเดือดร้อนจากการโดน ยสท. ลดการซื้อใบยาสูบลง

 

รศ.ดร. อรรถกฤต ปัจฉิมนันท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า มาตรการภาษีบุหรี่เป็นมาตรการสำคัญในการช่วยควบคุมการบริโภคบุหรี่ โดยปกติรัฐมีการปรับภาษีบุหรี่เป็นประจำทุก 3 ปี เพื่อให้ราคาบุหรี่แพงขึ้นสอดรับกับกำลังซื้อของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับชาวไร่ยาสูบหลัก ๆ มาจากการเพิ่มขึ้นอัตราภาษีบุหรี่ที่สูงมากในปี 2560 จนทำให้ราคาบุหรี่แพงขึ้นแบบก้าวกระโดด หรือเกือบ 40% ในขณะที่กำลังซื้อคนไทยไม่ได้โตสูงขนาดนั้นในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา จนส่งผลให้ยอดขายของบุหรี่ลดลงตามมา ในขณะที่สินค้าทดแทนอย่างยาเส้นได้รับความนิยมมากขึ้นเพราะยังคงเสียภาษีต่ำมาก  

 

“การที่ชาวไร่ยาสูบและ ยสท. ออกมาคัดค้านไม่ให้มีการขึ้นภาษีบุหรี่จาก 20% เป็น 40% ทำให้รัฐไม่สามารถปรับขึ้นอัตราภาษีบุหรี่ได้ง่าย ๆ อย่างไรก็ดี การปรับอัตราภาษีบุหรี่ให้เป็นอัตราเดียวยังคงเป็นสิ่งจำเป็น เพราะการใช้อัตราภาษีมูลค่าสองอัตราที่ 20% และ 40% ยังไม่เป็นไปตามแนวปฏิบัติที่ดีตามหลักสากลที่ระบุไว้ชัดว่าระบบภาษีควรใช้อัตราภาษีแบบอัตราเดียว ไม่ควรมีหลายอัตรา เพราะจะทำให้บริษัทบุหรี่พยายามหาช่องว่างทางภาษีเพื่อเสียภาษีในอัตราที่ถูกกว่าได้”

นักวิชาการ หนุนเก็บภาษีบุหรี่อัตราเดียว 40%

                                            อรรถกฤต ปัจฉิมนันท์

โดยจากการเปิดเผยข้อมูลองค์การอนามัยโลกในรายงาน WHO report on the global tobacco epidemic 2019 พบว่า ราคาบุหรี่ที่ถูกที่สุดในประเทศไทยคิดเป็น 38% ของราคาบุหรี่ที่แพงที่สุดในประเทศไทย ซึ่งต่ำเป็นอันดับที่ 42 จาก 157 ประเทศที่มีการรายงานข้อมูล และชี้ให้เห็นว่า ระบบภาษียาสูบไทยแบบสองอัตราสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภคหันไปซื้อสินค้าที่ถูกกว่าแทน ซึ่งแน่นอนว่าทำให้รัฐเสียรายได้ภาษี และที่สำคัญคือการบริโภคยาสูบไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ”

 

รศ.ดร. อรรถกฤต ยังเสนอว่า อยากเห็นกรมสรรพสามิตแก้ไขปัญหาภาษียาสูบแบบยั่งยืน ด้วยการกำหนดแผนการปรับขึ้นภาษีบุหรี่เป็นอัตราเดียวในระยะยาวและให้เป็นขั้นเป็นตอน โดยหาจุดสมดุลระหว่างวัตถุประสงค์ด้านสุขภาพและผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้ประกอบการและชาวไร่ยาสูบ

 

ทั้งนี้การปรับขึ้นภาษียาสูบเป็นแบบอัตราเดียวถือเป็นนโยบายที่ดีและน่าสนับสนุน เพราะสอดคล้องกับข้อแนะนำขององค์กรระหว่างประเทศต่างๆ ซึ่งรวมถึงองค์การอนามัยโลกด้วย แต่ด้วยภาระภาษีที่เพิ่มขึ้นรวดเร็วเกินไป ทำให้เกิดการคัดค้านการปรับขึ้นอัตราภาษีอีกครั้งในเดือนตุลาคม 2563 ดังนั้น แนวทางที่อยู่ตรงกลางน่าจะเป็นการประกาศค่อยๆ ขึ้นภาษี โดยใช้ระยะเวลาเพิ่มขึ้นในการที่ปรับเปลี่ยนไปสู่อัตราภาษีบุหรี่อัตราเดียว เพื่อช่วยให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยเฉพาะชาวไร่ยาสูบด้วยมีเวลาปรับตัวมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดแรงเสียดทานทางการเมืองโดยเฉพาะในระยะสั้นได้ และไม่ต้องมาคอยนั่งแก้ไขภาษีกันบ่อยๆ

 

รศ.ดร. อรรถกฤต ยกตัวอย่างการขึ้นภาษีบุหรี่ในต่างประเทศที่มีการดำเนินการต่อเนื่องและประกาศล่วงหน้าให้ทุกฝ่ายปรับตัวได้ การปรับขึ้นภาษีบุหรี่ ในต่างประเทศมีตัวอย่างการปรับระบบอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เช่น ในฟิลิปปินส์ตั้งแต่ปี ค.ศ.2013 มีการประกาศปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ล่วงหน้า 5 ปี จนในที่สุดสามารถยุบรวม 4 ขั้นอัตราภาษี เหลือเพียงอัตราเดียวได้ในปี ค.ศ.2017 และในประเทศอังกฤษที่มีนโยบายขึ้นภาษีบุหรี่โดยอ้างอิงดัชนีราคาขายปลีก (Retail Price Index หรือ RPI) โดยตั้งแต่ มี.ค.2015 - ต.ค. 2018  พบว่า อังกฤษประกาศขึ้นอัตราภาษีบุหรี่ตามปริมาณรวม 4 ครั้ง จาก 189.49 ปอนด์/1,000 มวน เป็น 228.29 ปอนด์/1,000 มวน หรือปรับขึ้นทั้งสิ้น 20% ในช่วงเวลา 3.5 ปี หรือเฉลี่ยขึ้นปีละ 5%