SCBS ปรับเป้าดัชนีหุ้นไทยปีหนูกรอบ 1700-1750 จุด ปัจจัยกดดันตลาดหุ้นไทย "ภัยแล้ง - สถานการณ์การเมืองโลก" ประเมินความตรึงเครียดตะวันออกกลาง จำกัดเฉพาะแค่สหรัฐ-อิหร่าน ดันน้ำมันแตะสูงสุดไม่เกิน 75 เหรียญต่อบาเรล แนะกลยุทธ์ลงทุนหุ้นกลุ่มวัฏจักร ปิโตรเคมี โรงกลั่น อิเล็กทรอนิกส์
นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัยบริษัทหลักทรัพย(บล.)ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) ประเมินสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางว่า คาดจะจำกัดความขัดแย้งเพียงแค่ 2 ประเทศคือสหรัฐและอิหร่าน ไม่น่าจะขยายเป็นสงคราม ทางออกน่าจะลงเอยด้วยการเจรจาเช่นเดียวกับกรณีของเทรดวอร์ ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ออกมายืนยันล่าสุดว่าจะไม่ใช่วิธีการโจมตีทางทหาร ดังนั้นจึงคลายความกังวลได้ในระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ดีสถานการณ์การเมืองโลก ยังเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นปีนี้เป็นระยะๆและอาจจะส่งผลต่อการปรับขึ้นของระดับราคาน้ำมันไม่เกิน 10 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล จากค่าเฉลี่ยปัจจุบัน 65 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล เป็นไม่เกิน 75 เหรียญสหรัฐต่อบาเรลภายในปีนี้
"ซัพพลายน้ำมันยังมีมากโดยเฉพาะสหรัฐฯที่มีการผลิตเพิ่ม ทำให้คาดว่าความตรึงเครียดในตะวันออกกลาง จะส่งผลต่อระดับราคาน้ำมันสูงสุดไม่น่าจะเกิน 75 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล และไม่น่าจะส่งผลต่อเงินเฟ้อมากนัก "
ทั้งนี้ SCBS มีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยครึ่งแรก เนื่องจากความกังวลระยะสั้น ในเรื่องของสงครามการค้าผ่อนคลาย สภาพคล่องและการดำเนินนโยบายการเงินดอกเบี้ยต่ำ เสถียรภาพเศรษฐกิจโลกปรับตัวดีขึ้น
อย่างไรก็ตามยังมีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยง 3 ด้านในช่วงครึ่งหลังปี 2563 ซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นไทย คือ 1.การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือนพฤศจิกายน2563 ที่อาจก่อให้เกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบายสำหรับภูมิภาคและโลก. 2 การใช้นโยบายการเงินที่อาจเปลี่ยนเป็นมาตรการกระตุ้นทางการคลังแทน และ 3. การผิดนัดชำระหนี้ที่สูงขึ้นโดยเฉพาะในจีน ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อตลาดสินเชื่อของเอเชีย
SCBS คาดเศรษฐกิจไทยปี 2563 จะขยายตัว 2.8% แต่อาจจะมีอัพไซด์จากระดับสินค้าคงคลังที่ลดลง โดยให้น้ำหนักในเรื่องภัยแล้งเป็นหลัก ที่กระทบกำลังซื้อ รายได้ของครัวเรือนและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ รองมาคือความตรึงเครียดในตะวันออกกลาง กดดันตลาดหุ้นให้แกว่งผันผวนเป็นระยะๆ ขณะที่ปัจจัยเรื่องโรคปอดอักเสบ กระทบการท่องเที่ยวแต่เชื่อว่าในที่สุด ประเทศจีนจะมีมาตรการคุมอยู่
SCBS ประเมินกำไรของบริษัทจดทะเบียนปี 2563 มาจากกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงาน - ปิโตรเคมี เป็นหลักกว่า 50-60% คาด EPS หรือกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 101 บาท เทียบ EPS ปี 2562 ที่ 83 บาท โดยได้ปรับเป้าดัชนีหุ้นไทยปี 2563 กรอบ 1700-1750 จุด จากปลายปีที่แล้วที่คาดไว้ที่ 1800 จุด
ให้น้ำหนักการลงทุนช่วง 6 เดือนของปีในหุ้นกลุ่มหุ้นวัฏจักรเช่น ปิโตรเคมี โรงกลั่น และอิเล็กทรอนิกส์ ที่จะปรับตัว outperform รวมถึงหุ้นกลุ่มธนาคารจาก valuation ที่น่าสนใจ การปรับปรุงค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญในระดับสูง หุ้น top picks ได้แก่กลุ่มปิโตรเคมี (IVL), โรงกลั่น (TOP), ธนาคาร (TCAP, BBL) และการแพทย์ (BCH)