นายอุทัย สอนหลักทรัพย์ นายกสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย (สยท.) เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ในวันที่ 13 มกราคมนี้ ได้รับเชิญจากนายประพันธ์ บุญยเกียรติ ประธานบอร์ดกรรมการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ให้เข้าพบเวลา 10 โมงที่สำนักงาน กยท. ที่บางขุนนนท์ สาระสำคัญที่จะเสนอ กล่าวคือ จากปัญหาที่ประสบมาตลอดได้ใช้ พรบ. กองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง 2503 จนเปลี่ยนมาเป็น พรบ. การยางแห่งประเทศไทย 2558 การแก้ปัญหายังคงไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งเรียกได้ว่ายิ่งแก้ไขปัญหาเกษตรกรยิ่งยากจนลงเรื่อยๆ จนทุกวันนี้
“การส่งออกยางพาราของไทยส่วนใหญ่เป็นวัตถุดิบแปรรูปขั้นต้นเท่านั้นเพราะที่ผ่านมาการส่งออกไม่มีการขยายตัวในภาคอุตสาหกรรมแปรรูปผลิตภัณฑ์ยาง จึงทำให้โครงสร้างการผลิตยางพาราของไทย มีความอ่อนแอและขาดความเชื่อมโยงที่ดีระหว่างภาคการผลิตทางเกษตรกรรม กับภาคอุตสาหกรรมแปรรูปผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มมูลค่า ซึ่งจากตัวเลขในปี 2560 ผลผลิตยางพาราของประเทศไทย มีผลผลิต 4.429 ล้านตันส่งออกวัตถุดิบ 89.4% ของปริมาณยางทั้งหมดในประเทศ มีมูลค่า 204,770 ล้านบาท แต่นำมาแปรรูผลิตภัณฑ์ในประเทศ 10.6% มีมูลค่า 262,380 ล้านบาท ซึ่งน้อยกว่าถึง 5.33 เท่า”
จากความไม่สมดุลเชิงโครงสร้างในลักษณะดังกล่าว จึงทำให้เห็นว่า ระบบยางพาราของไทยยังไม่พัฒนาไปสู่ศักยภาพในการแข่งขันที่เข้มแข็งขึ้นได้ ซึ่งเกษตรกรยังคงมีรายได้เฉลี่ยในระดับที่ต่ำและเป็นรายได้ที่ไม่มีความมั่นคง อีกทั้งยังไม่สามารถพัฒนาตนเองและองค์กรไปสู่ความเจริญก้าวหน้าตามยุทธศาสตร์ Thailand 4.0 ของรัฐบาลได้ ถ้าทุกฝ่ายร่วมมือกันอย่างจริงจังและจริงใจและรัฐบาลควรมีนโยบายที่ชัดเจน
นายอุทัย กล่าวว่า ดังนั้น สมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย จึงมีมติในการแก้ไขปัญหายางพาราครบวงจรโดยใช้พื้นที่จังหวัดระยองนำร่อง (Pilot Project) เพื่อเป็นโมเดล ถ้าประสบความสำเร็จ จึงขยายผลไปทั่วประเทศ จะเป็นการรักษาเสถียรภาพราคายางตามวัตถุประสงค์ของการยางแห่งประเทศไทย มาตรา 8(4) แก้ปัญหาต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เชื่อว่าจะทำให้ราคายางมีความยั่งยืนได้
อาทิ ตาม พรบ. กยท. มาตรา 36 เกษตรกรมีความประสงค์ ขอรับการสนับสนุนการปลูกแทนตาม พรบ. นี้ให้ยื่นคำขอรับการส่งเคราะห์ตามแบบและวิธีการที่คณะกรรมการกำหนด ซึ่ง กยท. มีผู้ขอรับการสงเคราะห์ประมาณ 400,000 ไร่/ปี ถ้าคณะกรรมการกำหนดให้ผู้รับสงเคราะห์โค่นยางเก่าปลูกแทนยางใหม่ จากเดิม 70– 80 ตัน/ไร่ ให้เหลือ 40 ตัน/ไร่ ให้เว้นระยะห่างที่จะปลูกพืชแซมยาง อาทิเช่น เหลียง สับปะรด กาแฟ กล้วย ฯลฯ และในปีที่สอง ควรปลูกพืชร่วมยาง เช่น ไผ่ สะเดาช้าง กระถินยักษ์ ไม้พยุง ฯลฯ และสวนยางขนาดเล็กโดยไม่เกิน 15 ไร่ ทาง กยท. ควรขุดสระ 1 ไร่ (โดยไม่ตัดเงินสงเคราะห์) เพื่อเลี้ยงปลา และไก่บนสระ เลี้ยงหมูหลุมรอบสวน เก็บน้ำไว้ใช้กับพืชแซมยาง ก็จะเป็นการแก้ปัญหา โดยไม่ต้องพึ่งการกรีดยางอย่างเดียว และเป็นการลดจำนวนต้นยางลงเพื่อปรับการผลิตได้ไม่เกินความต้องการใช้ยางของโลก(Over Supply)
ส่วนการพัฒนากลางน้ำ (ยางก้อนถ้วย) ทาง สยท. จึงร่วมมือกับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว) ร่วมมือกันพัฒนายางก้อนถ้วยให้เป็นยางเกรดพรีเมียม เพื่อหลีกเลี่ยงคำว่า “ขี้ยาง” หรือเพื่อปรับให้มีคุณภาพดีขึ้นจึงทำให้ได้ราคาดี กยท.ควรที่จะให้เกษตรกรรวมกลุ่มกันเพื่อพัฒนายางก้อนถ้วยหรือน้ำยางสดซึ่งสะอาด นำมาเข้าเครื่องเครปรีด แล้วนำไปอบแดดให้แห้ง ซึ่งจะมีคุณภาพดีกว่ายางแผ่นรมควัน ราคาก็จะเพิ่มขึ้น
ปิดท้ายการเพิ่มมูลค่ายาง ปลายน้ำ ตาม พรบ. กยท. มาตรา 8 (1) กยท.จะต้องบริหารจัดการยางพาราของประเทศทั้งระบบ อย่างครบวงจร ดังนั้นในการบริหารตั้งแต่ พรบ. กองทุนสงเคราะห์ การทำสวนยาง พ.ศ. 2503 จน 2558 ได้เปลี่ยนมาเป็น พรบ. กยท. จนถึงปี 2562 รัฐบาลไทยมุ่งขายแต่วัตถุดิบ ซึ่งต้องขึ้นกับตลาดล่วงหน้าเป็นผู้กำหนดราคายางมาโดยตลอด แต่ถ้ารัฐบาลสนับสนุนให้เกษตรกรเปลี่ยนเป็นเกษตรอุตสาหกรรม โดยหันไปสู่อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยาง เป็นการเพิ่มมูลค่ายางและเป็นการสร้างงานให้เกิดมูลค่าเพิ่ม ซึ่งในอนาคตจะพัฒนาไปสู่นวัตกรรม 4.0 กยท. ควรสร้างแบรนด์ให้ได้มาตรฐาน มอก. โดยเปลี่ยนจากการส่งวัตถุดิบมาส่งผลิตภัณฑ์ยางที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ราคายางก็จะเพิ่มขึ้นเอง โดยรัฐบาลไม่จำเป็นจะต้องมาประกันรายได้ กยท. เพียงแต่สนับสนุนเกษตรกรตามมาตรา 49(3) ดังนั้น สยท. จึงขอเสนอตามนโยบายของ กนย. ขอความร่วมมือ 8 กระทรวงให้ใช้ยางพารา แต่เนื่องจากไม่มีผู้คิดตาม อาทิเช่น ทำถนนยางพาราดิน ซอยซีเมนต์ ทำบังเกอร์ยาง กรวยจราจรยาง หลักถนนทางโค้ง เขื่อนยาง ยางปูสระน้ำ ฯลฯ กนย. ควรมอบหมายให้ กยท. ติดตามงานและรายงานให้ประธาน กนย. ทราบทุกระยะ เพื่อเพิ่มการใช้ยางในประเทศมากขึ้น
อย่างไรก็ดี จากกระแสในโลกออนไลน์การรณรงค์เลิกใช้ถุงพลาสติก โดยเริ่ม 1 มกราคม 2563 ซึ่งทำให้เกิดความวุ่นวายดังข่าวที่สื่อนำเสนอ เหตุเพราะเป็นการเปลี่ยนวิถีชีวิตจากความเคยชินที่สะดวกสบายในการใช้ถุงพลาสติก ซึ่งมีมายาวนานติดต่อกัน 65 ปี โดยนักวิจัยชาวสวีเดนเป็นผู้คิดค้นถุงก๊อบแก๊ปมาก่อน แต่ถ้านโยบายที่ออกมาให้ยกเลิกการใช้ถุงพลาสติก ซึ่งเป็นการรณรงค์รักษาสิ่งแวดล้อมที่ดี แต่เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ รัฐบาลควรที่จะต้องหาทางออก เพราะเพียงเริ่มไม่กี่วัน ก็เกิดปัญหาที่สับสนวุ่นวาย โดยเฉพาะเสียงจากร้านค้ารายย่อย ได้รับผลกระทบ เพราะขายของได้น้อยลง และผู้ซื้อเกิดความโกลาหลวุ่นวายไปตามๆกัน ดังนั้น ต้นเหตุที่ควรแก้ปัญหาทางสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย ขอเสนอแนวทางแก้ปัญหาจากต้นเหตุ 2 ประเด็น ดังนี้
ประเด็นแรก ขอเสนอให้ใช้ยางพาราแบบเม็ดผสมกับเม็ดพลาสติกในอัตราส่วน 30 : 70 เพื่อลดการย่อยสลายถ้าใช้พลาสติกเพียงอย่างเดียว ใช้เวลาย่อยสลาย 3-400 ปี ให้ใช้ยางพาราผสม จะทำให้การย่อยสลายเหลือเพียง 3-4 ปีเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันเครื่องมือทดสอบการย่อยสลายมีที่ประเทศญี่ปุ่นหรือเยอรมันนีเป็นผู้ผลิตเครื่องมือทดสอบ ซึ่งผลการทดลองปรากฏว่า ถ้าใช้ยางพาราผสมพลาสติกทำเป็นกรวยจราจร จะทน ไม่แตกและถ้านำไปฝังกลบเพียง 3 – 4 ปีก็จะย่อยสลายได้
ควบคู่กับการขอให้มีการวิจัยนำยางผสมพลาสติกทำถุง ทำเก้าอี้ บัวรดน้ำ ของเล่นเด็ก ฯลฯ และทาง ปตท. ควรใช้ยางพาราผสมทำแกลอนมันเครื่อง จะเป็นการลต้นทุน และเป็นตัวอย่างของการรักษาสิ่งแวดล้อม และเป็นการช่วยเกษตรกรชาวสวนยางในการใช้ยางในประเทศเพิ่มขึ้น นอกจากนั้นเป็นการดึงยางออกจากระบบ ราคายางก็จะปรับตัวสูงขึ้นเพียงแต่ควรมีการวิจัยให้ชัดเจน ในปัจจุบันทางสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทยได้นำเสนอสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ให้ทำการวิจัยหรือนักวิจัยที่สนใจมาช่วยกันเพียงแต่ทางรัฐบาลจะต้องสนับสนุนงบวิจัย เพราะที่ผ่านมา สยท. เพียงทำกรวยจราจรซึ่งมีผลดี ถ้า วว. ได้วิจัยนำมาใช้ดังกล่าวจะเป็นการแก้ปัญหายางพาราผสมเม็ดพลาสติกและนำไปเผยแพร่ได้ทั่วโลกเพราะปัจจุบัน ราคายางถูกกว่าพลาสติกมาก
ประเด็นที่สอง เพื่อให้สอดคล้องกับประเทศสวีเดน ซึ่งเป็นต้นแบบได้เสนอนำขยะทั้งหมดของประเทศไปผลิตไฟฟ้า จะทำให้ต้องสั่งขยะจากประเทศอื่นเข้ามาเพื่อผลิตไฟฟ้าใช้ ประเทศไทยก็ควรดำเนินการเช่นเดียวกับประเทศสวีเดน ปัญหาขยะในประเทศไทยก็จะใช้เป็นพลังงานไฟฟ้าจากขยะที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมในการเผาขยะให้เป็นพลังงานอีกด้วย ทางสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย จึงขอเสนอแนวทางทั้งสอง มาแก้ปัญหาโดยมีความหวังให้ราคายางสูงขึ้น