ปัจจุบัน ประเทศไทยมีตู้ ATM ทั่วประเทศกว่า 54,000 ตู้ มีการใช้ตู้ ATM มากกว่า 2.2 พันล้านครั้งต่อปี แต่ยังมี 18,000 ชุมชน หรือจำนวนประชากรกว่า 10 ล้านคน อยู่ห่างจาก ATM เกิน 5 กม. อย่างที่ ต.แม่อุสุ อ.ท่าสองยาง จ.ตาก ซึ่งมีประชาชนอาศัยอยู่ 17,000 คน ตู้ ATM ที่อยู่ใกล้สุด 30 ก.ม. ต้องใช้เวลาเดินทางถึง 2 ชม. นั่นเพราะกว่า 70% ของตู้ ATM ที่มีทั้งหมดหรือ 42,000 ตู้ มีการวางทับซ้อนกันมากกว่า 3 ตู้ในระยะน้อยกว่า 1 ก.ม. ซึ่ง 32% หรือ 13,387 ตู้อยู่ในกรุงเทพมหานคร จุดที่มี ATM ทับซ้อนมากที่สุดอยู่ที่สยาม สแควร์ มีมากถึง 150 ตู้ ส่วนอีก 68% หรือ 28,672 ตู้อยู่ในต่างจังหวัด
สมาคมธนาคารไทยจึงเกิดแนวคิดที่จะทำให้เกิด "ตู้ ATM สีขาว" หรือ White Label ATM ภายใต้การสนับสนุนของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ซึ่ง "ตู้ ATM สีขาว" คือ ตู้ ATM ที่มีระบบบริหารจัดการรับบัตร อิเล็กทรอนิกส์ของทุกธนาคารไม่แยกสี แยกโลโก้ เพื่อลดต้นทุน ให้กับสถาบันการเงิน
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและธุรกิจ TMB Analytics ศึกษาพบว่า หากโครงการตู้ ATM สีขาว (White Label ATM) เกิดขึ้นจริง จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการเงินของคนไทย เพราะสามารถลดต้นทุนบริหารจัดการของสถาบันการเงินได้ถึง 2.85 หมื่นล้านบาทต่อปี โดยต้นทุนค่าเช่าลดลง 8.5 พันล้านบาทและช่วยลดต้นทุนค่าบริหารจัดการเงินสดอีก 2 หมื่นล้าน ซึ่งจะมีผลให้ค่าธรรมเนียมที่คนไทยต้องจ่ายลดลงได้ถึง 2.2 หมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งเท่ากับมูลค่าการซื้อ LTF/RMF ทั้งปีของคนไทยทั้งประเทศเลยทีเดียว โดยค่าธรรมเนียมโอนเงิน ลดลง 3 พันล้านบาทและค่าธรรมเนียมถอนเงินลดลง 1.9 พันล้านบาท
นอกจากนั้นยังจะเพิ่มการเข้าถึงทางการเงินของประชาชนได้เพิ่มขึ้นถึง 10 เท่า โดยจำนวนชุมชน ที่ระยะห่างจาก ATM เกิน 500 เมตร จะลดจาก 42,000 ชุมชนเหลือ 7,000 ชุมชน ระยะทางเฉลี่ยจากชุมชนถึงตู้ ATM ที่ใกล้ที่สุด จะลดลงจาก 3 ก.ม.เหลือเพียง 300 เมตร