“สนธิรัตน์” คิกออฟรับซื้อไฟฟ้าชุมชน สร้างศก.เข้มแข็ง

03 ม.ค. 2563 | 06:41 น.

 

ทิศทางเศรษฐกิจไทยปี 2563 ยังเผชิญกับความผันผวนทั้งจากปัจจัยภายนอกและในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว  สงครามการค้า ค่าเงินบาท  หนี้ครัวเรือน ภัยแล้ง ล้วนเป็นโจทย์ที่ท้าทาย หนึ่งในนโยบายสำคัญของรัฐบาลจึงเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้เข้มแข็ง  ผ่านการผลักดันของ 5 กระทรวงเศรษฐกิจหลัก ในส่วนของกระทรวงพลังงาน 

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ทิศทางเศรษฐกิจในปี 2563 หลายฝ่ายประเมินว่าจะชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจของโลก แต่เนื่องจากประเทศไทยมีจุดแข็งและได้เปรียบด้านเกษตรกรรม ที่จะสามารถเข้ามาช่วยพยุงภาวะเศรษฐกิจในประเทศให้ฟื้นตัวได้ โดยอาศัยกลไกของพลังงานเป็นตัวขับเคลื่อน ที่จะช่วยลดความเหลื่อมลํ้า และสร้างรายได้ให้กับเศรษฐกิจฐานรากเพิ่มขึ้น ผ่านโครงการต่างๆ

“สนธิรัตน์” คิกออฟรับซื้อไฟฟ้าชุมชน สร้างศก.เข้มแข็ง

ไม่ว่าจะเป็นโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน ที่ขณะนี้มีความชัดเจนแล้วที่จะให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการถือหุ้นในโรงไฟฟ้าสัดส่วน 10-40 % ในโรงไฟฟ้า 4 รูปแบบ ได้แก่ โรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพจากพืชพลังงาน ราคารับซื้อไฟฟ้า 5.37 บาทต่อหน่วย โรงไฟฟ้าชีวมวล ราคารับซื้อ 4.26-4.84 บาทต่อหน่วย โรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพ จากนํ้าเสียหรือของเสีย ราคารับซื้อไฟฟ้า 3.76 บาทต่อหน่วย และโรงไฟฟ้าชุมชนไฮบริด ของ 3 ประเภทดังกล่าวร่วมกับพลังงานแสงอาทิตย์ ราคารับซื้อขึ้นกับประเภทและขนาด

การขับเคลื่อนโรงไฟฟ้าชุมชนดังกล่าวจะเปิดรับซื้อไฟฟ้าในปี 2563 จำนวน 700 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทำให้เกิดเม็ดเงินลงทุนในระบบได้ราว 7 หมื่นล้านบาท ขณะที่ชุมชนหรือเกษตรกรฐานรากจะมีรายได้จากการถือหุ้นในโรงไฟฟ้าที่ได้เงินปันผลจากการขายไฟฟ้า  รายได้จากการขายวัสดุทางการเกษตรเพื่อเป็นเชื้อเพลิงในรูปแบบสัญญาซื้อขายเชื้อเพลิง(คอนแทร็กต์ฟาร์มมิ่ง) และยังมีรายได้จากส่วนแบ่งการจำหน่ายไฟฟ้าที่ยังไม่หักค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ที่จะจ่ายให้กับกองทุนหมู่บ้านฯ ที่อยู่ในพื้นที่พัฒนาหรือฟื้นฟูท้องถิ่น โดยจะเร่งผลักดันให้เกิดเป็นรูปธรรมหรือการลงทุนในครึ่งแรกปี 2563

 

รวมถึงจะนำเงินจากกองทุนเพื่อการส่งเสริมอนุรักษ์พลังงาน เข้ามาสนับสนุนในขับเคลื่อนพลังงานชุมชนหรือสถานีพลังงาน เพื่อลดค่าครองชีพประชาชนที่อยู่ปลายสายส่งหรือพื้นที่ที่มีศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าใช้เอง หรือการผลิตเชื้อเพลิงเพื่อทดแทนก๊าซหุงต้ม อันจะเป็นการช่วยต่อยอดให้เกิดการสร้างอาชีพ และลดค่าใช้จ่ายลงได้ รวมถึงการตั้งสถานีสูบนํ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อบรรเทาภัยแล้งที่จะเกิดขึ้น ซึ่งการขับเคลื่อนดังกล่าวนี้ จะช่วยให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็ง สร้างงานสร้างอาชีพใหม่ๆ เกิดการจ้างงานในพื้นที่ ลดการย้ายถิ่นฐานหรือดึงคนกลับบ้าน ชุมชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จากการมีรายได้เพิ่มขึ้น เป็นต้น

“สนธิรัตน์” คิกออฟรับซื้อไฟฟ้าชุมชน สร้างศก.เข้มแข็ง

นอกจากนี้ จะต้องเร่งส่งเสริมให้นํ้ามันดีเซลบี 10 เป็นนํ้ามันดีเซลเกรดพื้นฐาน ที่มีเป้าหมายจะให้นํ้ามันดีเซลบี 10 มียอดจำหน่ายที่ 57 ล้านลิตรต่อวันภายในปี 2563 ผ่านสถานีบริการนํ้ามันที่จะครอบคลุมทุกแห่งภายในเดือนมีนาคม 2563 หากเป็นไปตามเป้าหมายได้  ที่จะช่วยสร้างสมดุลปาล์มนํ้ามันทั้งระบบให้เกิดขึ้นในระยะยาว อันจะเป็นการช่วยพยุงราคาปาล์มนํ้ามันไม่ให้ตกตํ่าต่อไปอีก เป็นการสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งจากการดำเนินงานที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า ราคาปาล์มนํ้ามันถูกยกระดับราคาอยู่ที่กิโลกรัมละเกือบ 6 บาทแล้ว ซึ่งหากผลักดันโดยการนำปาล์มนํ้ามันมาต่อยอดอีก จะช่วยให้ราคาปาล์มนํ้ามันปรับตัวสูงขึ้นอีกในอนาคตได้  

หน้า 1 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,536 วันที่ 2 - 4 มกราคม พ.ศ. 2563