พาณิชย์กางแผนปี 63 ดันส่งออก ‘ข้าว-มัน’ สู้บาทแข็ง
สัมภาษณ์
รัฐบาลยุค คสช.ได้เคลียร์สต๊อกข้าวกว่า 18 ล้านตัน ในโครงการรับจำนำข้าวสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยระบายให้ผู้ส่งออกไปจนหมดแล้วก่อนหน้านี้ มีกรมการค้าต่างประเทศเป็นแม่งานหลักในการทำหน้าที่ดังกล่าว ปี 2562 การส่งออกข้าวของไทยต้องเผชิญปัญหาใหญ่คือเงินบาทแข็งค่า ทำให้ราคาข้าวส่งออกของไทยราคาสูงโด่ง เสียเปรียบคู่แข่งขัน ช่วง 11 เดือนแรกตัวเลขการส่งออกข้าวทั้งด้านปริมาณ และมูลค่ายังติดลบ (กราฟิกประกอบ) ขึ้นศักราชใหม่ปี 2563 ทิศทางการส่งออกข้าวไทย รวมถึงอีกหนึ่งสินค้าเกษตรสำคัญคือผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังยังอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง และยังต้องลุ้นเหนื่อย
ปี 63 ยังต้องลุ้น
นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เผยในการให้สัมภาษณ์กับ “ฐานเศรษฐกิจ” โดยยอมรับว่าทิศทางการส่งออกข้าวไทยในปีนี้ยังไม่สดใส และยังต้องลุ้นกันแบบยาว ๆ เบื้องต้นตั้งเป้าหมายการส่งออกทั้งปีไว้ที่ 8 ล้านตันโดยแผนการเจาะตลาดข้าวของกรมได้รับมอบนโยบายจากนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้กรมรักษาตลาดข้าวเดิม ฟื้นฟูตลาดเก่า หาตลาดใหม่
กีรติ รัชโน
โดยการรักษาตลาดข้าวเดิม เช่น จีน ยุโรป สหรัฐฯ อาเซียนนั้นกรมจะเน้นการเดินสายเข้าพบผู้นำเข้าข้าวไทย และการจัดกิจกรรมแมตชิ่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยทำงานร่วมกับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ส่วนการฟื้นฟูตลาดเก่า เช่น ตลาดอิรัก จะเน้นไปพบกับผู้นำ แต่ขณะนี้อิรักอยู่ระหว่างการจัดตั้งรัฐบาลใหม่คงต้องรอให้แล้วเสร็จ กรมถึงจะดำเนินการต่อ ส่วนการหาตลาดใหม่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้นำคณะภาครัฐและเอกชนไปเจาะตลาดสินค้าเกษตรที่ประเทศตุรกี เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ครั้งนั้นประสบความสำเร็จมาก มีการลงนามเอ็มโอยูซื้อขายสินค้าเกษตร ซึ่งหนึ่งในนั้นมีข้าวร่วมอยู่ด้วย ถือเป็นการเจาะตลาดตุรกีอย่างเป็นทางการ
เล็งรุกหนัก 4 ตลาดใหญ่
“ปี 2563 การแข่งขันตลาดข้าวยังค่อนข้างรุนแรง ประกอบกับค่าเงินบาทของไทยที่แข็งค่ากว่าสกุลอื่นในภูมิภาค รวมถึงประเทศคู่ค้าต่างผันตัวมาเป็นผู้ส่งออกมากขึ้น ที่สำคัญคือจีน ขณะที่คู่แข่งขันส่งออกข้าวไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม ปากีสถาน เมียนมา มีการพัฒนาพันธุ์ข้าวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไทยจะต้องทำการบ้านให้มากขึ้น”
ทั้งนี้กรมอยู่ระหว่างการหารือกับผู้ส่งออกในการผลักดันข้าวหอมปทุมเพื่อรุกตลาดส่งออกให้เพิ่มมากขึ้น หลังจากที่ข้าวขาวไทยและข้าวหอมมะลิไทยมีราคาสูงกว่าคู่แข่ง โดยในปี 2563 กรมจะทำงานร่วมกับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศในการไปเจาะตลาดข้าว ในแอฟริกาตะวันออกกลาง รวมไปถึงตลาดข้าวในอินเดีย และญี่ปุ่น ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563
เล็งเป้าสูง 8 ล้านตัน
สำหรับการส่งออกข้าวไทยในปี 2562 คาดจะส่งออกได้ประมาณ 8 ล้านตัน โดยตั้งแต่เดือนมกราคม-11 ธันวาคม 2562 ไทยส่งออกข้าวไปแล้ว 7.32 ล้านตัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 32% มีมูลค่า4,035 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลง 24% ส่วนในปี 2563 กรมตั้งเป้าไว้ที่ 8 ล้านตัน
“ด้านความคืบหน้าการซื้อขายข้าวแบบจีทูจีกับรัฐบาลจีนในแสนตันที่ 8 จากที่ตกลงกันไว้ 1 ล้านตันอาจจะมีการเปลี่ยน แปลงในเรื่องของสัญญาการส่งมอบ จากเดิมส่งครั้งละ 8 หมื่น-1 แสนตัน อาจส่งมอบล็อต ละ 2-3 หมื่นตัน ซึ่งมีความเป็นไปได้มากกว่า เพราะขณะนี้ราคาข้าวไทยสูงกว่าคู่แข่งถึง 50-60 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน โดยทั้ง 2 ฝ่ายคาดจะมีการหารือกันอีกครั้งในเดือนมกราคมนี้”
กางแผนลุยตลาดมันฯ
ในส่วนของมันสำปะหลังนั้นกรมตั้งเป้าส่งออกในปี 2563 ที่ 9 ล้านตัน มูลค่า 2,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งกรมยังคงเน้นการรักษาตลาดเดิม และฟื้นฟูตลาดเก่า กิจกรรมจะเน้นการจัดคณะผู้แทนการค้าร่วมกับภาคเอกชนในการไปเจรจาขยายตลาด เช่น ตลาดจีน โดยเน้นเจรจาตลาดมันเส้น มันอัดเม็ด เน้นตลาดจีนตอนล่างที่มีศักยภาพ ไม่ว่าจะเป็นคุนหมิง หนานหนิง กวางโจว เซียะเหมิน และเฉินตู ตั้งเป้าส่งออกตลาดจีนไว้ที่ 1,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตลาดสหภาพยุโรป(อียู) ซึ่งไทยได้รับโควตาภาษีนำเข้าแป้งดิบไม่เกินปีละ 1 หมื่นตัน ตั้งเป้าตลาดอียูไว้ที่ 55 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนการฟื้นฟูตลาดเก่า ขณะนี้กรมอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในตลาดเนเธอร์แลนด์
“ส่วนแผนขยายตลาดใหม่นั้น กรมตั้งเป้าส่งออกไว้ที่ 945 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เช่นตลาดตุรกี นิวซีแลนด์ อินเดีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ซึ่งจะจัดคณะเอกชนไปช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน”
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,537 วันที่ 5-8 มกราคม 2563
