สงครามช่วงชิงอำนาจรัฐ

31 ธ.ค. 2562 | 11:00 น.

คอลัมน์ข้าพระบาท ทาสประชาชน ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3536 หน้า 6 ระหว่างวันที่ 2-4 ม.ค.63 โดย... ประพันธุ์ คูณมี


สงครามช่วงชิงอำนาจรัฐ

 

     ทุกครั้งที่กรรมการบริหารหรือพรรคอนาคตใหม่ ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายไม่ว่าเรื่องใด  ก็จะเห็นนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค ที่อดีตเคยเป็นอาจารย์สอนกฎหมายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ออกมาทำตัวเป็นผู้บรรยายอบรมกฎหมาย หรือแสดงภูมิรู้เพื่อแก้ต่างให้แม้บ่อยครั้งจะความรู้ท่วมหัวแต่ก็เอาตัวไม่รอด ถึงกระนั้นยังไม่วายที่อยากจะโชว์ภูมิรู้ของตน มาคราวนี้ก็อีกแหละครับ ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญได้แถลงถึงการดำเนินคดี กรณี 1.คำร้องของนายณฐพร โตประยูร ยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ว่าการกระทำของพรรคอนาคตใหม่,นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ,นายปิยบุตร แสงกนกกุล,และคณะกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่ 2.กรณีศาลรัฐธรรมนูญพิจารณารับคำร้องที่คณะกรรมการการเลือกตั้งยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาเพื่อมีคำสั่งให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ ปมเงินกู้ 191 ล้านบาท และให้ผู้ถูกร้องยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง

     ทันใดนั้น นายธนาธร และนายปิยบุตร ที่คุณเปลว สีเงิน ตั้งฉายาให้เป็น "หลวงประดิษฐ์วาทกรรมแซงตุดส์" ก็ออกมาโต้ตอบโดยเผยแพร่วาทกรรมประดิษฐ์ว่า นี่เป็นเรื่องของ "นิติสงคราม" ( Lawfare) หรือ "สงครามทางกฎหมาย" การที่พวกเขาจงใจประดิษฐ์วาทกรรมนี้ขึ้น ก็เพื่อแก้เกี้ยวแก้ต่างให้ตนเอง แต่แฝงด้วยการกล่าวหาและหมิ่นแคลนการดำเนินคดีของศาล ว่าเป็นการจงใจกลั่นแกล้งเล่นงานพวกเขา 

     ขณะเดียวกันก็ถือโอกาสทำให้ประชาชนเข้าใจคลาดเคลื่อนต่อหลักกฎหมาย และกระบวนการดำเนินคดี โดยละเลยมิได้พูดถึงข้อเท็จจริงว่าพวกตนได้กระทำผิดอย่างไร รายละเอียดแห่งคำร้องที่กล่าวหา ได้อาศัยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอย่างไร เหตุใดศาลจึงพิจารณารับคำร้อง ซึ่งก็เป็นสไตล์เดิมๆของพรรคนี้ ที่กระทำจนชินชาเป็นนิสัย

 

สงครามช่วงชิงอำนาจรัฐ

 

 

     สิ่งที่นายปิยบุตร พยายามเสนอและชี้นำสังคมนี้ ก็เป็นมุกเดิมๆเหตุผลเก่าๆที่เคยพยายามใช้มาแล้ว โดยพยายามปลุกเร้าให้สังคมคล้อยตามหรือหวาดกลัวไปด้วย แต่ที่สุดก็ไร้ผล ผู้คนในสังคมกลับมิได้คิดหรือคล้อยตามแต่อย่างใด และมิได้หวาดกลัวตามไปด้วย จะมีก็แต่เพียงสาวกของพรรคเท่านั้น ที่อาจจะเออออไปกับความคิดเห็นนี้ เพราะทุกคนอ่านกฎหมายรู้ ดูและศึกษาข้อเท็จจริงแห่งคดีเป็น ทราบว่าทุกเรื่องมีที่มาที่ไปอย่างไร จึงมิได้วิตกหวาดกลัวต่อ "นิติสงคราม" หรือ "สงครามทางกฎหมาย" อย่างที่พรรคอนาคตใหม่เพ้อหรืออยากเห็น

     สิ่งที่ประชาชนวิตกหวาดกลัว และไม่กล้าเข้าร่วมกับขบวนการของพรรคอนาคตใหม่ขณะนี้อยู่ที่การทำ "สงครามช่วงชิงอำนาจรัฐ" เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองที่มิใช่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่เกิดจากพฤติกรรมอันน่าสงสัยและความไม่น่าไว้วางใจของพรรคอนาคตใหม่เองต่างหาก

     เพราะเมื่อดูจากเจตนารมณ์การก่อตั้งพรรคนี้ ที่แสดงออกโดยเอกสารของพรรคก็ดี การประกาศท่าทีและจุดยืนทางการเมืองของ หัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค โฆษกพรรค และผู้บริหารพรรค แกนนำสำคัญๆก็ดี ต่างมุ่งไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง เปลี่ยนแปลงสังคมไทย โดยถือต้นแบบของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อปี 2475 ของคณะราษฎร ซึ่งเป็นการริดรอนอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์

 

สงครามช่วงชิงอำนาจรัฐ

 

     โดยพวกท่านทั้งหลายประกาศชัดเจนหลายครั้ง ว่าจะสานต่อภารกิจของ "คณะราษฎร" ให้สำเร็จ และการแสดงออกที่ชัดเจนที่สุดก็คือการลงมติของ ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2562 เพื่อพิจารณาพระราชกำหนดโอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ พ.ศ.2562 ที่พรรคอนาคตใหม่โหวตคว่ำพรก.ฉบับนี้

     เมื่อพิจารณาไส้ในองค์ประกอบของพรรค จากข้อเขียนของคุณ "ประชา บูรพาวิถี" หรือสหายแคน สาริกา คอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ผู้มีข้อมูลการข่าววงในของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ลึกที่สุดคนหนึ่ง ได้ให้ข้อมูลที่รับฟังได้ว่าพรรคอนาคตใหม่ มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับอดีตสหาย โดยเฉพาะสาย "สหายธง แจ่มศรี" หรือ สหายประชา ธัญญไพบูลย์ อดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ฯ ที่เพิ่งเสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2562 โดยในงานวันฌาปนกิจ เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2562 ที่วัดพระประโทณเจดีย์ กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง อาทิ เนติวิทย์ โชติภัทรไพศาล,สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือจ่านิว ก็มาร่วมงานด้วยผ้าปิดตาที่บาดเจ็บ โดยเป็นที่ทราบกันดีว่าคนกลุ่มนี้ มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพรรคอนาคตใหม่ และมีฐานะเป็นองค์กรมวลชนของพรรค

 

สงครามช่วงชิงอำนาจรัฐ

 

 

     อีกคนคือคุณไพศาล พืชมงคล ที่เหมือนจะทราบวงในของพรรคนี้มากกว่าใครเพราะ กุนซือ "คนระดับคุรุ" คนหนึ่งที่เป็น "เสนาธิการหลังม่าน" ให้พรรคอนาคตใหม่ก็คือ คุณพิชัย พืชมงคล น้องชายของคุณไพศาลนั่นเอง ซึ่งเป็นอดีตคนเดือนตุลา เป็นซ้ายเก่าที่มีบทบาทในพรรคเช่นเดียวกับคุณอำนาจ จึงกุล หรือสถาวราฤทธิ์ ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่

     ดังนั้นการก่อเกิดของพรรคอนาคตใหม่ จึงไม่แตกต่างจากเมื่อครั้ง นายทักษิณ ชินวัตร ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ที่บรรดาอดีตนักศึกษายุค 14 ตุลา 2516 คนที่เคยเข้าป่าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ฯ จำนวนมากส่วนหนึ่ง ได้หลั่งไหลเข้าไปช่วยงานตามคำชักชวนของ นพ.พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช และนายภูมิธรรม เวชยชัย ผู้เป็นสหาย ด้วยมองและหวังว่า "ทักษิณ" จะเป็นนายทุนหัวก้าวหน้า และจะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยเหมือนดังที่พวกเขาใฝ่ฝัน 

     แต่นายทุนก็คือนายทุน ท้ายที่สุดเพราะความโลภและสันดานโกงของนายทุนที่เห็นแก่ตัว และการตีตนเสมอเจ้า อำนาจรัฐทักษิณจึงล่มสลาย เมื่อเผชิญกับชายผมเกรียนที่ชื่อ "สนธิ ลิ้มทองกุล" ผู้จงรักภักดี ที่ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง ผนึกกำลังกับผู้รักชาติและจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ ขับไล่โค่นล้มจนไร้แผ่นดิน

     "กลุ่มซ้ายเก่า" ที่อกหักและผิดหวังพ่ายแพ้กับการปฏิวัติร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ฯ และล้มเหลวจาก "นายทักษิณ" จนมิอาจจะ "สถาปนารัฐไทยใหม่" ตามอุดมการณ์ ก็หันมาเจอหนุ่มตี๋เศรษฐี ที่ประชา บูรพาวิถี เรียกว่า "ผู้กล้าแห่งยุคสมัย" ชื่อ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จึงได้พากันเฮโลสาระพามาช่วยงานพรรคอนาคตใหม่ ด้วยหวังจะเห็น "พรรคการเมืองของประชาชน" เกิดขึ้นในช่วงปลายของชีวิต แต่จะสำเร็จเหมือนฝันหรือจะแพ้ซ้ำซาก ไม่นานเกินรอคงได้รู้กัน

 

สงครามช่วงชิงอำนาจรัฐ

 

     กล่าวโดยสรุปแล้ว พรรคอนาคตใหม่ เบื้องหน้าคงขายคนรุ่นใหม่ แต่ไส้ในและกุนซือการเมือง เสนาธิการหลังม่านล้วนแต่อดีตซ้ายเก่า ที่ยังไม่ยอมเปลี่ยนแปลงความคิด ถึงโลกจะเปลี่ยนสังคมจะพัฒนาสักเพียงใด พวกเขายังจมอยู่กับความคิดเดิมๆ แม้เพื่อนร่วมแนวคิดอุดมการณ์มากมายได้เปลี่ยนความคิดไปแล้ว พวกเขายังมุ่งมั่นคิดช่วงชิง ทำสงครามยึดอำนาจรัฐ เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไปตามแนวคิดและอุดมการณ์ในอดีต ที่คนส่วนใหญ่ในสังคมไม่ปารถนา

     พรรคอนาคตใหม่ก่อตั้งขึ้น ด้วยเจตนารมณ์ชัดเจนว่า ต้องการได้มาซึ่งอำนาจรัฐ ต้องการสถาปนาอำนาจรัฐของประชาชน ตามนิยามของพวกเขา ด้วยยุทธศาสตร์การตั้งพรรคให้เป็นกองหน้าและแกนนำ โดยใช้การต่อสู้ทั้งในสภาและนอกสภาปลุกระดมมวลชนคู่ขนานกันไป หวังอาศัยการปลุกมวลชนให้ลุกขึ้นสู้เปลี่ยนแปลงรัฐบาล เปลี่ยนแปลงการปกครอง นี่คือสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ในสังคมขณะนี้ 

     ดังนั้น ประชาชนผู้รู้เท่าทันทั้งหลาย จงอย่าได้กลัว "นิติสงคราม" เพราะกฎหมายคือหลักความยุติธรรมของบ้านเมือง ไม่มีใครใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือทำสงคราม สิ่งที่อันตรายและน่ากลัวยิ่งกว่าคือ "สงครามช่วงชิงอำนาจรัฐ" จากกลุ่มคนการเมืองจำพวกหนึ่ง เพราะมันจะนำสังคมไทยไปสู่การเสียชีวิตและเลือดเนื้อของคนไทยอีกครั้ง เราจงสามัคคีกันหยุด ! "สงครามช่วงชิงอำนาจรัฐ" นี้ ด้วยการเตรียมพร้อมและรับมือกับมัน โดยไม่ประมาท เพื่อพิทักษ์ปกป้องระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขร่วมกัน 

     เราจะต้องไม่ยอมให้ใครคิดมาทำลายบ้านเมืองอันเป็นที่รักของเรา