ลุยพันโครงการ พลังงานชุมชน

24 ธ.ค. 2562 | 03:20 น.

เอกชนชง 33 โรงไฟฟ้าชุมชนQuick win เพิ่มรายได้ให้ฐานรากในปี 2563 พร้อมหนุนพลังงานชุมชนอีก 1 พันโครงการ ใน 5 ปี ดึงเงินกองทุนอนุรักษ์พลังงานฯ กว่า 1 หมื่นล้าน ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายพลังงาน

 

 

นโยบายพลังงานเพื่อทุกคน หรือ Energy For All ของนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เริ่มเห็นภาพชัดเจนมากขึ้น หลังจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานได้เห็นชอบหลักการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) และราคารับซื้อไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ที่ผ่านมา เพื่อดำเนินนโยบายพลังงานชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ทั้งการตั้งโรงไฟฟ้าชุมชน กิจการไฟฟ้าชุมชน และสถานีพลังงานชุมชน

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ในการพิจารณา
หลักเกณฑ์และแนวทางการตั้งโรงไฟฟ้าชุมชน ของกพช. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไม่ใช่แค่เห็นชอบให้ดำเนินโครงการ แต่ได้สั่งการทำให้สำเร็จ ให้ภาคพลังงานไปเปลี่ยนคุณภาพชีวิตประชาชนทั้งประเทศให้ได้ และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ก็ได้สั่งการให้เร่งทำให้เห็นผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพราะโรงไฟฟ้าชุมชนที่เอกชนจะเข้าไปลงทุนในพื้นที่ใดชุมชนจะได้รับหุ้น 10% เมื่อมีการปันผล มีกำไร ชุมชนก็นำรายได้ส่วนนั้นส่งคืนเป็นทุนให้กับโรงไฟฟ้า ชุมชนจะสามารถเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้า โดยที่ไม่ต้องควักเงินลงทุนก่อน

จากนโยบายดังกล่าว ส่งผลให้ชุมชนและเอกชนเกิดการตื่นตัวเป็นจำนวนมากที่สนใจจะร่วมจัดตั้งโรงไฟฟ้าชุมชน แต่ทั้งนี้พื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าจะต้องอยู่ในบริเวณที่ตั้งของสายส่ง สมาชิกที่เข้าร่วม ปริมาณการผลิตพืชพลังงานที่เป็นวัตถุดิบ รวมไปถึงความเข้มแข็งของชุมชนที่จะมีการขยายกำลังการผลิตต่อไปในอนาคต ซึ่งขั้นตอนการดำเนินงานรอเพียงคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ออกระเบียบการรับซื้อไฟฟ้า คาดว่าจะเปิดรับข้อเสนอของชุมชนและเอกชนได้ราวต้นปี 2563 รวมทั้งการส่งเสริมพลังงานชุมชนในพื้นที่ห่างไกล โดยใช้เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเข้าไปสนับสนุน

สำหรับโรงไฟฟ้าชุมชนจะมีการเปิดรับซื้อไฟฟ้าในปี 2563 จำนวน 700 เมกะวัตต์ เสนอขายไฟฟ้าไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ โดยจะเปิดโอกาสให้กับโรงไฟฟ้าที่ก่อสร้างแล้วเสร็จหรือใกล้จะแล้วเสร็จ( Quick win) ยื่นเสนอโครง การเข้ามาก่อน เพื่อจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบภายในปี 2563 ส่วนที่เหลือจะเป็นโครงการทั่วไป ที่เปิดโอกาสให้กับผู้สนใจเข้าร่วมโครง การ และจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบภาย ในปี 2564 คาดจะก่อให้เกิดการลงทุนราว 70,000-84,000 หมื่นล้าน บาท หรือใช้เงินลงทุนเมกะวัตต์ละประมาณ 100-120 ล้านบาท

นายผจญ ศรีบุญเรือง นายกสมาคมการค้าก๊าซชีวภาพไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางสมาคมได้เสนอรายชื่อโรงไฟฟ้าชุมชน Quick win ให้กับกระทรวงพลังงานรับทราบไปแล้วจำนวน 33 โครงการ กำลังผลิตรวมประมาณ 80 เมกะวัตต์ เป็นการผลิตไฟฟ้าจากพืชพลังาน เช่น หญ้าเนเปียร์ และนํ้าเสีย ซึ่งมีทั้งโรงไฟฟ้าที่ก่อสร้างเสร็จแล้ว และอยู่ระหว่างการก่อสร้างแต่ต้องหยุดดำเนินการไป เนื่องจากปี 2557 รัฐบาลเปลี่ยนนโยบายหยุดรับซื้อไฟฟ้า ส่งผลให้กว่า 50 โครงการ กำลังผลิตกว่า 100 เมกะวัตต์ ต้องสะดุด

ลุยพันโครงการ  พลังงานชุมชน

 

ดังนั้น หากกระทรวงพลังงานเปิดโอกาสให้โครงการที่ ค้างท่อมาจากรัฐบาลชุดก่อน สามารถ ลงทุนได้ต่อเนื่องและจ่ายไฟฟ้าเข้าในระบบได้ในปี 2563 ก็จะเป็นผลต่อชุมชนที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้น ส่วนโรงไฟฟ้าชุมชน Quick win ที่ใช้ชีวมวลนั้น เท่าที่ติดตามยังไม่มีการเสนอรายชื่อเข้ามา

แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า สำหรับแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายพลังงานชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานรากนั้น จะแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 3 ส่วน วางเป้าหมายการดำเนินงานรวมไว้ 5 ปี (2563-2567) จำนวน 1 พันโครงการ แบ่งเป็นดำเนินงานในปี 2563 มีโครงการกิจการไฟฟ้าชุมชนขนาดไม่เกิน 350 กิโลวัตต์ นำร่อง 20 โครงการ ซึ่งไม่มีการขายไฟฟ้าเข้าระบบ ดำเนินงานในพื้นที่ชุมชนห่างไกล หรืออยู่ปลายสายส่งหรือนอกเขตบริการปี 2564 ดำเนินงาน 100 โครงการ ปี 2565 ดำเนินงาน 300 โครงการ และปี 2566-2567 ดำเนินงาน 300 โครงการ เงินลงทุนแห่งละ 10-15 ล้านบาท รวมเม็ดเงินลงทุนราว 7,200-10,800 ล้านบาท

ขณะที่สถานีพลังงานชุมชนให้วิสาหกิจชุมชนที่มีความพร้อมหรืออำเภอที่มีฐานเครือข่ายชุมชนเข้มแข็ง ทั้งในรูปแบบการผลิตไฟฟ้าและพลังงานความร้อน เพื่อนำพลังงานที่ได้ไปลดต้นทุนหรือต่อยอดธุรกิจ นำร่องในปี 2563 จำนวน 20 โครงการ ปี 2564 จำนวน 100 โครงการ ปี 2565 จำนวน 100 โครงการ และปี 2566-2567 จำนวน 100 โครงการ เงินลงทุนแห่งละ 3-5 ล้านบาท รวมเม็ดเงินลงทุนราว 960-1,600 ล้านบาท รวมทั้ง 2 ส่วนที่รัฐจะสนับสนุนประมาณ 1.68-1.24 หมื่นล้านบาท

ส่วนของขวัญปีใหม่นั้น ในวันที่ 23 ธันวาคมนี้ นายสนธิรัตน์ จะประชุมกับผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพลังงาน เพื่อแจ้งให้ทราบถึงของขวัญปีใหม่ที่ได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีไปแล้ว โดยจะลดราคานํ้ามัน
ดีเซลบี 10 และแก๊สโซฮอล์อี 20 ลงลิตรละ 1 บาท มีผลตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2562-10 มกราคม 2563 โดยใช้กลไกของกองทุนนํ้ามันเชื้อเพลิงเข้ามาอุดหนุนรวม 120 ล้านบาท 

บาท หน้า 1 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3533 วันที่ 22-25 ธันวาคม 2562