อุ้มเศรษฐกิจฐานราก คลังผนึกพาณิชย์เสริมแกร่ง ชุมชน-SMEs

24 ธ.ค. 2562 | 23:00 น.

นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเสวนา โฉมหน้าประเทศไทย 2020 ในงาน Nation Dinner talk ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย 2020 ว่า เศรษฐกิจโลกชะลอตัว อยู่ในภาวะที่ไม่แน่นอนสูง และไม่สามารถคาดการณ์ได้ในปีหน้า แต่เพื่อความไม่ประมาท โจทย์ใหญ่ของประเทศคือการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ ซึ่งทุกคนต้องร่วมกันโดยมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจน

 

 

 

ต่อยอดบัตรสวัสดิการ

ดังนั้น ปีหน้ากระทรวงการคลัง จะเร่งฟื้นความเชื่อมั่นด้วยการเร่งปฏิรูปประเทศ เน้นการสร้างความเข้มแข็งให้ประชาชนฐานราก ด้วยการใช้ภาคีเครือข่ายธนาคารรัฐ ในการพัฒนาฐานราก (อ่านประกอบข่าวหน้าการเงิน....) และพัฒนาต่อยอดระบบ
National-e Payment โดยการใช้ข้อมูลที่ได้จากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และโครงการชิมช้อปใช้มาต่อ ยอด ให้ตรงความต้องการของประชาชนฐานราก ลดความเหลื่อมลํ้าได้

ขณะเดียวกันยังทำการคืนภาษีผ่านแอพพลิเคชันให้นักท่องเที่ยว และการตรวจสินค้าผ่านด่านกรมศุลกากร พร้อมทั้งการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน ระบบราง ถนน อากาศ จะเดินหน้าเข้มข้นในการจัดหาแหล่งเงินทุน และใช้กองทุนไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ให้มากขึ้น และสนับสนุนให้เอกชนเข้ามาร่วมทุน PPP กับรัฐมากขึ้น

 

พร้อมออกมาตรการกระตุ้น

นอกจากนี้ยังส่งเสริมการให้สวัสดิการแห่งรัฐต่อเนื่อง เพราะเป็นเรื่องที่จำเป็น โดยจะเปิดลงทะเบียนบัตรสวัสดิการรอบใหม่ในต้นปีหน้า และทบทวน
คนที่เคยได้รับแล้ว ว่ามีความจำเป็นได้รับอยู่หรือไม่ เพื่อให้เม็ดเงินช่วยเหลือลงสู่ฐานรากอย่างแท้จริง

“ปีหน้าพร้อมมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา หากมีความจำเป็น เพราะเป็นการดูแลเศรษฐกิจระยะสั้น แต่จุดประสงค์หลักคือการปฏิรูปประเทศให้เดินหน้าได้อย่างมั่นคงในอนาคต ซึ่งวันนี้วินัยการเงินการคลังมีความแข็งแกร่ง และได้รับการจัดอันดับจากสถาบันจัดอันดับ 3 แห่งพร้อมๆ กันในปีนี้ ซึ่งมีมุมมองดีขึ้นในรอบหลายปี ซึ่งสะท้อนว่าต่างชาติเห็นว่าเราดียังดูแลเศรษฐกิจ ระยะสั้นได้ ต่างชาติเชื่อมั่นแล้วไทยเองเชื่อมั่นแค่ไหน ถ้ามีจะทำให้ประเทศไทยในปีหน้าเดินต่อได้” นายอุตตม กล่าว

อุ้มเศรษฐกิจฐานราก  คลังผนึกพาณิชย์เสริมแกร่ง ชุมชน-SMEs

เคาะประตูเร่งขายสินค้าเกษตร

เวทีเดียวกันนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุมีแผนขับเคลื่อนสู่เป้าหมายเดียวกัน คือ กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ควบคู่การผลักดันการส่งออก โดยนโยบายสำคัญดูแลฐานรากคือ การประกันรายได้พืชเกษตร 5 รายการ ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์มนํ้ามัน และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งได้ชดเชยส่วนต่างราคาให้ครบทั้ง 5 พืชแล้ว และจะดำเนินการจ่ายชดเชยส่วนต่างราคาให้กับเกษตรกรในงวดต่อๆ ไป ตามระยะเวลาโครงการของพืชแต่ละชนิด ซึ่งจะทำให้เม็ดเงินกระจายสู่เศรษฐกิจฐานราก เพิ่มการจับจ่ายใช้สอย และช่วยดึงราคาสินค้าเกษตรแต่ละตัวให้ดีขึ้น

ส่วนภาคการส่งออกซึ่งปีนี้ต่อเนื่องถึงปีหน้ายังได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า เศรษฐกิจโลกชะลอตัว และเงินบาทแข็งค่า ดังนั้น จะบริหารการส่งออกแบบในภาวะปกติไม่ได้ ต้องใช้ยาแรงและหลายขนานคู่กัน ที่สำคัญคือได้มอบนโยบายให้ทูตพาณิชย์ทั่วโลกทำหน้าที่เป็นเซลส์แมนหิ้วสินค้าเกษตรไปขาย เช่น ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์มนํ้ามัน ผลไม้ แทนที่จะไปจัดโปรโมชัน หรืองานแสดงสินค้าแบบเดิมๆ คงไม่เพียงพอ รวมถึงรัฐมนตรีพาณิชย์เองก็ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าเซลส์แมนประเทศไทยไปนำเสนอขายสินค้า เพื่อนำรายได้เข้าประเทศด้วย ซึ่งที่ผ่านมาก็สามารถนำเงินเข้าประเทศได้จำนวนมาก

 

รุกหนักค้าออนไลน์

นอกจากนี้จะบุกเจาะตลาดต่างประเทศอย่างเข้มข้น โดยในปี 2563 มีแผนงานนำเอกชนไปเจาะตลาดต่างประเทศรวม 16 ทริปใน 18 ประเทศเพื่อเร่งรัดการส่งออกให้ขยายตัวมากขึ้น ซึ่งจากนี้จะเน้นหนักเจาะตลาดรายเมือง รายมณฑล หรือรายรัฐ ประกอบด้วย จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง เวียดนาม กัมพูชา ติมอร์เลสเต บังกลาเทศ มัลดีฟส์ ฝรั่งเศส อังกฤษ รัสเซีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ตะวัน ออกกลาง และแอฟริกาใต้ รวมถึงการเร่งรัดการจัดทำความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ที่ยังค้างท่อ ให้ได้ข้อสรุปผลการเจรจาในปีหน้า ได้แก่ ไทย-ตุรกี ไทย-ปากีสถาน ไทย-ศรีลังกา และผลักดันการลงนามความตกลงอาร์เซ็ป (อาเซียนบวก 6) ในปีหน้า เพื่อเพิ่มมูลค่าการส่งออกในอนาคต

“ที่สำคัญอีกอันหนึ่งคือการนำสินค้าไทยไปขึ้นแพลตฟอร์มเว็บไซต์ดังๆ ในต่างประเทศ เพื่อทำการค้าออนไลน์หรืออี-คอมเมิร์ซ เพื่อให้สินค้าไทยมีช่องทางการค้าที่กว้างไกลไปได้ทั่วโลกมากขึ้น จากช่องทางการค้าดั้งเดิม (ออฟไลน์) ถูกคุกคามจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งปีนี้เราเริ่มต้นด้วยการนำสินค้าไทยระดับพรีเมียมไปขึ้นเว็บไซต์ Tmall ของจีนซึ่งได้ลงนามกันไปแล้ว

สำหรับในปี 2563 มีแผนนำสินค้าไทยไปขึ้นแพลตฟอร์มในอีก 5 เว็บไซต์ดัง ได้แก่ Big Basket (อินเดีย), PChome (ไต้หวัน), Amazon (สหรัฐฯ), PrestoMall (มาเลเซีย) และ Amazon Japan (ญี่ปุ่น) ขณะที่จะมีการฝึกอบรมผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และสตาร์ตอัพเพื่อทำการค้าออนไลน์ เป้าหมายอีก 1 หมื่นราย การผลักดันธุรกิจดิจิทัล คอนเทนต์ การ์ตูน ภาพยนตร์แอนิเมชันที่จะนำรายได้เข้าประเทศได้อีกมหาศาลในอนาคต

ขณะที่ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศได้สรุปผลการดำเนิน
งานของ Thaitrade.com เว็บไซต์ค้าออนไลน์ของประเทศว่า มีผลการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2562 (ต.ค.61-ก.ย.62) มีมูลค่าการซื้อขายที่มีหลักฐานผ่านเว็บไซต์ 1,037 ล้านบาท มีสมาชิกทั้งหมด ณ ปัจจุบัน 20,529 ราย แยกเป็นสมาชิกผู้ซื้อจากทั่วโลก 20,013 ราย สมาชิกผู้ขาย (ผู้ ประกอบการไทย) 516 ราย โดยสรุปผลการดำเนินงานตลอดระยะเวลาโครงการตั้งแต่เริ่มดำเนินการ (ก.ค.54-30 ก.ย.62) มีมูลค่าการซื้อขายผ่าน Thaitrade.com แล้ว 6,593 ล้านบาท หน้า 1 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3533 วันที่ 22-25 ธันวาคม 2562