คนยุคดิจิทัลทำงานแบบ‘นินจา’

19 ธ.ค. 2562 | 07:04 น.

ไมโครซอฟท์ประเทศไทย เผยผลสำรวจเทรนด์คนออฟฟิศปัจจุบัน มุ่งหน้าเข้าสู่ปี 2020 พบว่า กลุ่มคนทำงานเบบี้บูมเมอร์ จนถึงกลุ่มเยาวชนกลุ่มเจเนอเรชั่น Z มีไลฟ์สไตล์การทำงานแบบ นินจา ที่ชอบการทำงานแบบมีอิสระและมีความยืดหยุ่นระดับสูง แต่ยังสามารถร่วมงานกับทุกคนไม่ว่าไกลใกล้ได้เพื่อผลงานที่ดีที่สุด

คนยุคดิจิทัลทำงานแบบ‘นินจา’

เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เข้ามาเป็นกำลังพื้นฐานในการทำงานของผู้คนในยุคปัจจุบัน เทรนด์การทำงานร่วมกัน (Collaboration) จึงเปลี่ยนแปลงไปภายใต้คอนเซ็ปต์ Independent but Collaborative ซึ่งหมายความว่าผู้คนหันมาใส่ใจพื้นที่ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยในการทำงานมากยิ่งขึ้น แต่การหันมามีไพรเวทสเปซของตนเองในครั้งนี้ก็ไม่ได้ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานให้ลดลงแต่อย่างใด เพียงแต่ผู้คนนั้นหันมาสนใจเลือกใช้เทคโนโลยีใหม่ๆที่สามารถตอบโจทย์การทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างง่ายดายและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นเท่านั้น

 

จากผลสำรวจที่จัดทำขึ้นโดย ทีม ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ผ่านเกมทดสอบความเป็นตัวเองในที่ทำงาน (Personality Test) ที่แบ่งไลฟสไตล์การทำงานออกเป็นทั้งหมด 7 ประเภท โดยมีผู้เข้าร่วมเล่นจำนวนมากกว่า 1,000 คน จากทั่วประเทศไทย พบว่า 20 % ของผู้ตอบแบบสอบถามได้ผลสรุปเป็น ไอเดียตัวแม่ ไอเดียตัวพ่อ (The Ideamaker), 21% เป็น ครูเจ้าระเบียบ ฝ่ายปกครองมาเอง (The Ruler), 10% เป็น เดอะบอส (The Executive), 7% เป็น นักบุญ แม่พระ (The Guardian), 12% เป็น หน่วยข่าวกรอง (The Socialite), 28% เป็น นินจาซุ่มเงียบ (The Ninja) และ 2% เป็น รุ่นเดอะ AKA เดอะไดโนเสาร์ (The Dinosaur) ตามลำดับ

คนยุคดิจิทัลทำงานแบบ‘นินจา’

โดยในแบบสอบถามยังได้แบ่งกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามออกเป็นทั้งหมด 4 เจอเนอเรชั่น ได้แก่ กลุ่มเบบี้บูมเมอร์, กลุ่มเจนเนอเรชั่น X, Y และ เจเนอเรชั่น โดยหลังจากได้นำผลสรุปที่ได้มาวิเคราะห์ จะเห็นถึงข้อบ่งชี้ที่ว่าเทรนด์การทำงานบนโลกแห่งยุคอนาคตใหม่นี้มีการเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งนำไปสู่เทรนด์ในการทำงานปี 2020 ได้ตามข้อสรุปดังต่อไปนี้

 

จากผลสำรวจพบว่า ทุกเจเนอเรชั่นได้ผลสรุปอันดับหนึ่งออกมาเป็นไลฟสไตล์การทำงานแบบ ‘นินจา’ คิดเป็นจำนวนกว่า 28% จากผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด ซึ่งสอดคล้อง ไปกับเทรนด์การทำงานบนโลกยุคดิจิทัล ได้แก่ การที่ผู้คนชอบทำงานบนพื้นที่ความเป็นอิสระและความเป็นส่วนตัวของตนเองมากยิ่งขึ้น หรือสามารถเรียกในอีกมุมหนึ่งได้ว่าผู้คนเริ่มหันมานิยมไลฟสไตล์การทำงานแบบ Mobile Working นั่นหมายถึง การที่คุณสามารถทำงานจากที่ไหนบนโลกก็ได้ เพียงแค่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตเท่านั้น โดยคุณเองยังสามารถเชื่อมต่อกับเพื่อนร่วมงานหรือลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดอีกด้วย

 

ลำดับต่อมา จากผลสำรวจในแต่ละเจนเนอเรชั่น พบว่า 31% ในกลุ่มเบบี้บูมเมอร์ และ 22 % ในกลุ่มเจนเนอเรชั่น X ได้ข้อสรุปลำดับที่สองว่ามีไลฟ์สไตล์การทำงานแบบ ‘ครูเจ้าระเบียบ’ ซึ่งก็เปรียบได้ว่ากลุ่มคนในช่วงอายุนี้ยังคงรักษาระบบการทำงานแบบดั้งเดิมเอาไว้ โดยมีการยึดกฎเกณฑ์และการทำงานขององค์กรเป็นหลัก เพียงแต่มีการปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินงานโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวช่วย อาทิ การเริ่มใช้เทคโนโลยีในการสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์มากยิ่งขึ้น รวมไปถึงการริเริ่มสร้างสรรค์ผลงานหรือชิ้นงานของตนเองผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ เป็นต้น

 

ในขณะเดียวกัน จากผลสำรวจในแต่ละเจนเนอเรชั่น พบว่า 21% ของทั้งกลุ่มเจเนอเรชั่น Y และ Z ได้ผลลัพธ์รวมอันดับสองออกมาเท่ากัน เป็นไลฟสไตล์การทำงานแบบ ‘ไอเดียตัวแม่ และไอเดียตัวพ่อ’ สอดคล้องไปกับวิถีการทำงานของกลุ่มวัยรุ่นในยุคปัจจุบันที่มีอิสระทางความคิด มีไอเดียใหม่ๆและไฟในการทำงานอยู่เสมอ ซึ่งผู้ที่มีไลฟ์สไตล์การทำงานเช่นนี้ มักที่จะชอบต่อยอดไอเดียของตัวเองให้ไปจนถึงจุดสูงสุดเพื่อหาค้นหาคำตอบในสิ่งที่ตัวเองต้องการ

 

 

จากผลสำรวจดังกล่าว จึงสามารถกล่าวได้ว่า ไม่ว่าทุกคนจะอยู่ในเจเนอเรชั่นไหน แต่ด้วยโลกใบใหม่ที่ขับเคลื่อนไปด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ผู้คนจึงให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีมากขึ้น การทำงานใน Workplace จึงเริ่มเปลี่ยนแปลงไปผ่านการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ในการปรับปรุงวิถีการดำเนินงาน เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพและประสิทธิผลให้กับชิ้นงานของตนเอง ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นนินจา ครูเจ้าระเบียบ ไอเดียตัวแม่ไอเดียตัวพ่อ หรือไดโนเสาร์ก็ตาม ก็ไม่สามารถปฏิเสธไปได้เลยว่าเทคโนโลยีเหล่านี้เป็นสิ่งที่จะช่วยสร้างโอกาสให้แก่อนาคตการทำงานห้ประสบความสำเร็จมากขึ้นไปอีกหลายเท่า