อีกไม่นานกรณี “พรรคอนาคตใหม่” กู้ยืมเงินกว่า 191 ล้าน บาทจาก นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค ก็จะกระจ่างชัด เบื้องต้นต้องรอดูว่าศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไว้พิจารณาหรือไม่ หากศาลรับไว้พิจารณา ก็จะเข้าสู่กระบวนพิจารณาเพื่อวินิจฉัย
กรณีจะยุบ-ไม่ยุบพรรคอนาคตใหม่ ถูกจับจ้องและเกาะติดความเคลื่อนไหวจากคอการเมือง เพราะจะส่งผลกับการ เมืองไทยในระยะเวลาอันใกล้นี้
หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจ ฉัยแล้วมีคำตัดสินว่า “ไม่ผิด” พรรคอนาคตใหม่ก็ยังเดินหน้าทำงานกันต่อไปได้ตามปกติ แต่ถ้าหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วมีคำตัดสินออกมาว่า “ผิด” ก็จะส่งผลกระทบกับตัว นายธนาธร และพรรคอนาคตใหม่ใน 3-4 เรื่อง
เริ่มที่ตัว นายธนาธร ในฐานะผู้ให้กู้เงินอาจต้องโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ และถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี
ตามด้วย พรรคอนาคตใหม่ อาจโดนปรับไม่เกิน 100,000 บาท ริบเงินกู้ของพรรค เข้าสู่กองทุนพรรคการเมือง ตามมาตรา 66 ที่บัญญัติว่า บุคคลใดจะบริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้พรรคการเมืองเกิน 10 ล้านบาทไม่ได้ และกรรมการบริหารพรรคทั้ง 15 คน ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ขณะที่ส.ส.ของพรรค กฎหมายระบุให้ต้องหาพรรคใหม่สังกัดภายใน 60 วัน
ขณะนี้เราจึงได้เห็นพรรคอนาคตใหม่ นอกจากเตรียมต่อสู้คดีในศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ยังมีความเคลื่อนไหวร่วมกับมวลชนที่เตรียมลงสู่ถนน เพื่อไม่ให้เกิดการยุบพรรคขึ้น
นายธนาธร เคยวิเคราะห์อนาคตของพรรคอนาคตใหม่ และสมาชิกพรรคเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่า ถ้าพรรคถูกยุบจริงเขาเชื่อว่า ส.ส.พรรคที่มีอยู่ประมาณ 80 คนนั้น 60 คนจะตามไปเป็นสมาชิก “บ้านหลังใหม่” ที่เตรียมไว้รองรับ
และจากกระแสข่าวที่ออกมา ระบุว่า ผอ.พรรคและรองเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของธนาธร ไปตั้งพรรคใหม่ไว้รองรับ ข้อมูลอีกกระแสระบุว่า “พรรคอนาคตใหม่” ได้เตรียม “พรรคสามัญชน” เป็นพรรคสำรองเอาไว้ด้วย เนื่องจากการตั้งพรรคใหม่ต้องใช้เวลาและอาจขอจดทะเบียนจัดตั้งไม่ทัน ว่ากันว่า พรรคสามัญชน เป็นพรรคพี่พรรคน้องกับพรรคอนาคตใหม่
ขณะที่ ส.ส.อีก 20 คนนั้น ธนาธร เชื่อว่า จะถูกดึงไปร่วมกับพรรคขั้วรัฐบาล
หากเป็นเช่นนั้น จำนวนเสียง ส.ส.ฝ่ายค้านจะน้อยลง เสียงรัฐบาลจะเพิ่มขึ้น เพราะเมื่อดูจำนวนส.ส.ในสภาตอนนี้ที่มี อยู่ 498 คน จาก 500 คน ขาดไป 2 คน คือ เสียงของ นายนวัธ เตาะเจริญสุข อดีต ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย ที่ศาลฎีกาพิพากษาจำคุกคดีจ้างวานฆ่า ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเลือกตั้งซ่อม และนายกรุงศรีวิไล สุทินเผือก ส.ส. สมุทรปราการ พรรคพลังประชารัฐ ที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งมีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณา ต้องหยุดพักการปฏิบัติหน้าที่
เจาะลึกลงไป พบว่า เป็นเสียง ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล 254 คน จาก 18 พรรค ที่ประกอบด้วย พรรคพลังประชารัฐ 116 คน ประชาธิปัตย์ 53 คน ภูมิใจไทย 51 คน ชาติไทยพัฒนา 11 คน รวมพลังประชาชาติไทย 5 คน ชาติพัฒนา และพลังท้องถิ่นไท พรรคละ 3 คน รักษ์ผืนป่าประเทศไทย 2 คน และอีก 10 คนจากพรรคพลังไทยรักไทย, ครูไทยเพื่อประชาชน, ประชานิยม, พลเมืองไทย, ประชาธิปไตยใหม่, พลังธรรมใหม่, ไทยศรีวิไลย์ และประชาธรรมไทย พรรคละ 1 คน
ส่วน ส.ส.ฝ่ายค้านนั้นมี 244 คน จาก 7 พรรคการเมือง ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย 135 คน อนาคตใหม่ 80 คน เสรีรวมไทย 10 คน เศรษฐกิจใหม่ 6 คน ประชาชาติ 7 คน เพื่อชาติ 5 คน และพลังปวงชนไทย 1 คน
ดังนั้น หากมีการยุบพรรคอนาคตใหม่ และมี ส.ส. 20 คนหันไปร่วมกับพรรคขั้วรัฐบาล ดังเช่นที่ นายธนาธร คาดไว้ เท่ากับเสียงฝั่งรัฐบาล จาก 254 เสียง จะขยับขึ้นเป็น 274 เสียงทันที
อย่างไรก็ดี ตอนนี้เสียงของรัฐบาลมีโอกาสขยับเหนือผิวนํ้ามากยิ่งขึ้น เมื่อพรรคอนาคตใหม่ ที่มี ส.ส. 80 คน ได้ลงมติพรรคขับ
“ส.ส.งูเห่า” ออกจากพรรค 4 คน ประกอบด้วย 1. นายจารึก ศรีอ่อน ส.ส.จันทบุรี 2.พ.ต.ท.ฐนภัทร กิตติวงศา ส.ส. จันทบุรี 3.นางศรีนวล บุญลือ ส.ส. เชียงใหม่ และ 4.นางสาวกวินนาถ ตาคีย์ ส.ส. ชลบุรี
ตามกฎหมายส.ส.ทั้ง 4 ราย ต้องหาพรรคอื่นสังกัดภาย ใน 30 วันนับจากวันที่ถูกขับออกจากพรรค
ปรากฏการณ์ “งูเห่า” อาจจะเกิดขึ้นในพรรคเพื่อไทยมากขึ้นด้วย เนื่องจากฝ่ายค้านเห็นว่า เสียงของรัฐบาล “ไม่ปริ่มนํ้า” อีกต่อไปแล้ว แม้แต่แกนนำพรรคเพื่อไทยบางคน ยังเสนอว่า ควรไปร่วมรัฐบาลเพื่อที่จะได้โควตา ครม. บางรายกล้ายกมือสวนมติพรรคก็มี
ดังเช่น จากกรณีที่ นายขจิตร ชัยนิคม ส.ส.อุดรธานี นางสาวพรพิมล ธรรมสารส.ส.ปทุมธานี และ นายพลภูมิวิภัติภูมิประเทศ ส.ส.กทม. ของพรรคเพื่อไทย เสียบบัตรแสดงตนช่วยรัฐบาล เพื่อนับเป็นองค์ประชุม และงดออกเสียงในการพิจารณาตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญศึกษาผลกระทบจากการกระทำประกาศและคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และการใช้อำนาจของหัวหน้า คสช.ตามมาตรา 44 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2562 ที่ผ่านมา
เช่นเดียวกับส.ส.ของพรรคเศรษฐกิจใหม่ ที่โหวตหนุนรัฐบาล คือ นายภาสกร เงินเจริญกุล นายมนูญ สิวาภิรมย์รัตน์ นางมารศรี ขจรเรืองโรจน์ และ นายสุภดิช อากาศฤกษ์ อีกราย คือ นายอนุมัติ ซูสารอ ส.ส.พรรคประชาชาติ ที่เสียบบัตรแสดงตนนับองค์ประชุม แต่งดออกเสียง
ดูแนวโน้มแล้วรัฐบาลที่เคยอยู่ในสภาพ “เสียงปริ่มนํ้า” มีโอกาสที่ ส.ส.ฝั่งรัฐบาล 254 เสียง จะขยับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ ส.ส.ฝ่ายค้าน 244 เสียง ก็คงจะลดลงเรื่อยๆ เช่นกัน
ทั้งนี้ทั้งนั้น การ “ยุบ-ไม่ยุบ” พรรคอนาคตใหม่ จะเป็นตัวบ่งชี้ว่า “สมการการเมืองไทย” จะเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่
หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,532 วันที่ 19-21 ธันวาคม 2562