คณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติเลื่อนการแบน 2 สาร “พาราควอต-คลอร์ไพริฟอส"ออกไปอีก 6 เดือน หลังพบปัญหาอื้อ ทั้งเสียงคัดค้านจากภาคเกษตร ภาคการค้าและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง รวมถึงปัญหาจัดการสารคงค้างกว่า 2.3 หมื่นตัน เลิกแบน "ไกลโฟเซต" แต่ให้จำกัดการใช้แทน
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการวัตถุอันตราย เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการฯ (วันที่ 27 พ.ย.2562 ซึ่งใช้เวลาประชุมนานกว่า 4 ชั่วโมง) มีกรรมการเข้าร่วมประชุม 24 คนจาก 29 คน มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ออกประกาศกำหนดวัตถุอันตรายพาราควอต และคลอร์ไพริฟอสเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 โดยกำหนดระยะเวลาใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2563 ส่วนวัตถุอันตรายไกลโฟเซตให้ใช้มาตรการจำกัดการใช้ตามมติคณะกรรมการวัตถุอันตราย เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2561 (จากคณะกรรมการวัตถุอันตรายชุดเดิมมีมติวันที่ 22 ต.ค.2562 มีมติให้แบนทั้ง 3 สารมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2562)
คณะกรรมาธิการการพาณิชย์ฯยื่นหนังสือข้อเสนอแนะก่อนการประชุม
บรรยากาศการประชุมถกเครียดกว่า 4 ชั่วโมง
นอกจากนี้ยังได้มอบหมายให้กรมวิชาการเกษตร และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการจัดทำมาตรการรองรับในการหาสารทดแทน หรือวิธีการอื่นที่เหมาะสมสำหรับวัตถุอันตรายพาราควอต และคลอร์ไพริฟอส รวมถึงมาตรการในการลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน และให้นำเสนอคณะกรรมการฯ พิจารณาภายในระยะเวลา 4 เดือนนับจากวันที่มีมติ และขอให้รับรองมติในที่ประชุม
สำหรับในการประชุมวันนี้ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้ข้อมูลต่อคณะกรรมการฯว่าได้มีการประชุมหารือแนวทางในการปฏิบัติ เพื่อบริหารจัดการวัตถุอันตรายที่ยังคงเหลืออยู่ รวมถึงผลกระทบด้านอื่นๆพบว่ามีข้อจำกัดในการปฏิบัติ หากจะให้การยกเลิกการใช้วัตถุอันตรายทั้ง 3 รายการมีผลในวันที่ 1 ธันวาคม 2562 รวมทั้งผลการประชุมรับฟังความคิดเห็น ซึ่งพบว่ามีผู้ไม่เห็นด้วย และมีข้อเสนอแนะเป็นจำนวนมาก ประกอบด้วย การจัดการสารที่คงค้าง ซึ่งมีจำนวน 23,000 ตันโดยประมาณ ซึ่งหากต้องทำลายจะต้องมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก และบางส่วนไม่สามารถผลักดันให้ส่งกลับไปได้
กลุ่มเกษตรกรร่วมลุ้นผลการประชุม
ส่วนผลกระทบที่จะเกิดต่ออุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น อุตสาหกรรมอาหาร อาหารสัตว์ ซึ่งอาจจะไม่สามารถนำเข้าวัตถุดิบที่เป็นผลิตผลทางการเกษตรได้ เนื่องจากอาจมีสารตกค้างอยู่ในผลผลิตดังกล่าว และในประเด็นนี้ยังไม่มีมาตรการในการบริหารจัดการ อกทั้งยังอาจจะมีผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศ
“ในส่วนของไกลโฟเซตที่ต้องแยกมติออกมานั้น เนื่องจากปัจจุบันยังมีประเทศที่ใช้สารดังกล่าวอยู่ประมาณ 160 ประเทศ มีห้ามใช้อยู่ 9 ประเทศ โดยหากประกาศห้ามใช้ไกลโฟเซตจะทำให้ไม่สามารถนำเข้าถั่วเหลืองกับข้าวสาลีจากประเทศสหรัฐอเมริกา บราซิล หรือประเทศอื่นได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ และต่อเนื่องไปยังอุตสาหกรรมอื่น โดยผลกระทบที่จะเกิดขึ้นนายกสมาคมอาหารสัตว์ระบุว่าอาจจะมีสูงถึงหลายแสนล้านบาท ดังนั้นเมื่อมีข้อมูลดังกล่าวนี้ที่ชัดเจนเลยมีมติแยกสารไกลโฟเซตออกมา”
นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ทุกคนเห็นด้วยที่จะแบน 3 สารดังกล่าว เพียงแต่เมื่อจะแบนจริง แล้วนำมาวิเคราะห์ผลกระทบหากจะแบนเวลานี้คงเกิดความโกลาหล เพราะต้องมีกระบวนการต่างๆ ขณะที่การหาสารทดแทนนั้น ได้มีการดำเนินการมาแล้วกว่า 1 ปี โดยต้องยอมรับว่าพาราควอตเองก็มีการใช้มาจนเสมือนเป็นยาสามัญประจำบ้านสำหรับการกำจัดวัชพืช เพราะฉะนั้นวันนี้นอกจากหาสารทดแทนแล้วก็จำเป็นต้องหาวิธีการจัดการวัชพืชแบบผสมผสาน ซึ่งการหาสารทดแทนที่จะมีประสิทธิภาพเหมือนพาราควอตก็ค่อนข้างจะยาก
“ปัจจุบันก็มีสารที่ใช้ได้ผลใกล้เคียงกับพาราควอตอยู่ โดยวันนี้เราใช้มาตรการใช้สารที่ดีได้ผลใกล้เคียงกันอยู่กับต้องหาวิธีการปฏิบัติ หรือวิธีการบริหารจัดการมากำจัดด้วย”
อย่างไรก็ดี มติที่ออกมาเป็นลักษณะของการที่จะให้มีการประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลที่จะให้พาราควอตกับคลอร์ไพริฟอสเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ภายในวันที่ 1 มิถุนายน 63 เพราะฉะนั้นผลในแง่กฎหมาย ไม่ใช่ว่ามีมติออกมาแล้วจะให้มีการปรับมติ แต่ในขณะเดียวกันก็มีความห่วงกังวลว่ายังมีการใช้สาร 2 ชนิดดังกล่าวที่ยังไม่มีสารทดแทนได้ เลยขอให้กรมวิชาการเกษตรเร่งหาสารทดแทน เช่น กรณีคลอร์ไพริฟอสที่ใช้ในการปราบหนอนทุเรียน ซึ่งยังหาตัวแทนไม่ได้ ให้หาสารทดแทนให้ทันระยะเวลาที่จะมีผลบังคับใช้