อีกก้าวที่แตกต่างของ Wongnai

24 พ.ย. 2562 | 06:35 น.

“สิ่งที่ได้ยินคนถามมาตลอด คือ ตอนนี้สตาร์ตอัพเป็นไงบ้าง เมื่อไรสตาร์ตอัพไทยจะได้มียูนิคอร์นเสียที เรามีความรู้สึกว่า นี่ก็เป็นความรับผิดชอบของเราส่วนหนึ่งนะ ถ้ามันจะเกิดขึ้นได้ มันก็น่าจะเกิดจากเรา หรือเพื่อนๆ ของเรานี่แหละ”

9 ปี ของการปลุกปั้น เทกสตาร์ตอัพ ในนามของ “วงใน” Wongnai ของ “ยอด ชินสุภัคกุล” ซีอีโอหนุ่มในวัย 36 ปี ที่วันนี้มีจำนวนผู้เข้าใช้กว่า 9 ล้านรายต่อเดือน มีฐานข้อมูลร้านอาหารมากกว่า 3 แสนร้านทั่วประเทศ และได้แตกกิ่งก้านบริการ ไปสู่ธุรกิจความงาม ธุรกิจท่องเที่ยว รวมไปถึงธุรกิจคุกกิ้ง

อีกก้าวที่แตกต่างของ Wongnai

แต่...ซีอีโอคนนี้ กลับบอกว่า เขายังไม่พอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ เพราะภารกิจที่เขาต้องทำในวันนี้ คือ การรับเงินลงทุนเข้ามา และรับผิดชอบในการที่จะทำให้งินลงทุนนั้น สามารถสร้างตลาดให้ใหญ่กว่าเงินลงทุนที่ได้รับ...ซึ่งมันยังสามารถเติบโตได้อีกมหาศาล และปลายปีนี้ วงใน มีการเปลี่ยนแผนธุรกิจ และอาจจะมีการระดมทุนอีกครั้ง เพื่อขับเคลื่อนให้วงในขยายตัว และสร้างตลาดได้ใหญ่โตมากยิ่งขึ้น ซึ่งเจ้าตัวบอกว่า รออีกนิด ปลายปี ประกาศแน่

แผนปรับเปลี่ยนในช่วงปลายปี คงต้องรอกันอีกนิด แต่สิ่งที่บอกได้แล้วตอนนี้คือ ทิศทางธุรกิจ ที่ปรับตัวเข้าสู่ O2O Platform (Online-to-Offline) เชื่อมโยงบริการออนไลน์เข้ากับออฟไลน์ ซึ่งแพลตฟอร์มนี้ คือ โมเดลในการขยายธุรกิจเชิงลึกของวงใน ทั้งกลุ่มอาหาร ความงาม และการท่องเที่ยว ที่คาดว่าจะสามารถผลักดันให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด ซึ่งล่าสุด คือ การจับมือกับ eatigo พาร์ตเนอร์ที่มีความแข็งแกร่งด้านบริการจองร้านอาหารออนไลน์

“นโยบายของเราคือ โอทูโอ เราจะไปให้ลึกขึ้น อีกหน่อยในหน้าแอพของเรา จะมี O2O ซิเนริโอ 3-4 อย่าง ที่อยู่ในหน้าร้านอาหารนั้น เช่น การจองโต๊ะผ่าน eatigo การสั่งอาหารผ่านไลน์แมน อาจจะมีเรียกแท็กซี่ผ่านอะไรอีกสักเจ้าหนึ่ง และอาจจะมี Pick up สั่งอาหารล่วงหน้าแล้วไปรับเอง ไม่ต้องเสียเวลารอ” O2O แบบ Pick Up นี่ จะได้เห็นกันเร็วๆ นี้ ซึ่งวงในจะดำเนินการเอง

แนวคิดของ “ยอด” คือ การเพิ่มความสะดวกให้กับสิ่งที่ผู้บริโภคยังขาดความสะดวกในตอนนี้ โดยส่วนที่เป็นเจ้าตลาดอยู่แล้ว เขาก็จะเข้าไปเป็นพาร์ตเนอร์ แต่ส่วนไหนที่ยังไม่มีใครทำ หรือไม่มีเจ้าตลาด วงใน ก็จะทำเอง อย่างเช่นเรื่องของ Pick Up  

ความคิดในการขยายธุรกิจของซีอีโอคนนี้ ไม่ได้คิดว่า จะต้องโตๆ อย่างเดียว แต่การเติบโตของเขา ต้องดูว่า ตัวเองมีศักยภาพที่จะทำได้หรือเปล่า อย่างเรื่องของการขยายไปต่างประเทศ “ยอด” บอกเลยว่า หลายๆ ประเทศ มีบริการเหมือนวงในที่เป็นระดับเจ้าตลาดอยู่แล้ว การไป หากต้องไปแย่งแชร์ชาวบ้าน หรือไปแล้วไม่ได้สร้างประโยชน์ใหม่ๆ ให้กับผู้ใช้บริการ เขาคิดว่า ไม่มีความจำเป็นต้องไป

แพลตฟอร์ม O2O ที่เขาพยายามขยายตลาดอยู่ขณะนี้ คือ แพลตฟอร์มที่อำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการ และเป็นการเพิ่มทรานเซ็กชันให้กับร้านค้า หรือผู้ให้บริการ ถือเป็นวิน วิน ของทุกฝ่าย และยังเป็นแพลตฟอร์มที่จะทำให้คนกลับมาใช้บริการของเขาซํ้าได้เรื่อยๆ ซึ่งนั่นคือโอกาสในการขยายตัว อย่างเช่น ตลาด O2O ของฟู้ดดีลิเวอรี 1.2 หมื่นล้านบาท มันยังโตได้อีก จากตลาดอุตสาหกรรมอาหาร 7-8 แสนล้านบาท หากมีบริการที่ตอบโจทย์ เพิ่มความสะดวกให้ผู้บริโภค มันสามารถโตได้อีก 3-4 เท่า นี่ยังไม่รวม O2O ของธุรกิจอื่น อย่างท่องเที่ยว ซึ่งตอนนี้มี O2O แล้ว หรือในธุรกิจ บิวตี้ โฮมเซอร์วิส มันยังมีโอกาสอีกเยอะ ซึ่งเขามั่นใจว่า มันจะไม่ตันในอีก 4-5 ปีข้างหน้าแน่นอน

อีกก้าวที่แตกต่างของ Wongnai

ความยากของการผลักดันให้ธุรกิจของวงในยังคงอยู่ได้ และเติบโตตอบโจทย์นักลงทุนได้อย่างยั่งยืน “ยอด” บอกว่า มี 2 ส่วน อย่างแรก คือ การสร้างอีโคซิสเต็ม หรือการสร้างฐานทั้งฝั่งยูเซอร์ และร้านอาหาร อย่างที่ 2 คือ เงินทุน ที่ต้องมีมากพอ เพราะการเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคแต่ละครั้ง ต้องใช้เงินมหาศาลในการทำตลาด สร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

แหล่งที่มาของเงินทุนสำหรับสตาร์ตอัพอย่างวงใน ก็คือ การระดมทุน ซึ่งเขาบอกว่า มันเป็นสิ่งที่สตาร์ตอัพอย่างพวกเขาต้องทำตลอดเวลา ไม่งั้นก็ไม่สามารถเติบโตได้ทันคู่แข่ง ซึ่งปลายทางของสตาร์ตอัพที่จะทำให้นักลงทุนแฮปปี้ได้ ก็คือ การ IPO หรือการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ และนั่นก็คือ หนึ่งเป้าหมายของวงในเช่นกัน

เป้าหมายสูงสุดของวงใน ไม่เพียงแค่ IPO แต่เขายังต้องผลักดันให้วงในก้าวสู่การเป็นบริษัทเทกอันดับ 1 ของเมืองไทย ภายใน 3 ปีข้างหน้า

ส่วนการจะไปถึงเป้าหมาย หรือการเติบโตไปเป็นยูนิคอร์น “ยอด” บอกว่า ปัญหาไม่อยู่ที่เรื่องของนโยบายภาครัฐ แน่นอนว่า การจะทำให้สตาร์ตอัพไทยเดินหน้า นโยบายมีส่วน แต่เพียง 5% เท่านั้น ปัญหาส่วนใหญ่ 95% คือ สภาพตลาดที่เป็นอยู่... หากเราอยู่ในจีน อเมริกา หรืออินโดนีเซีย เราน่าเป็นยูนิคอร์นแล้ว ตรงนี้ต้องย้อนมาดูว่า ตลาดในบ้านเราใหญ่เพียงพอหรือเปล่า

อีกเรื่องสำคัญ ปัญหาที่ตัวเอง วงในอาจจะคิดช้าเกินไป เรื่องการขยายตลาดสู่ต่างประเทศ หรืออาจจะความสามารถไม่มีมากพอ เรื่องเหล่านี้ คือ สิ่งที่ต้องคิดทบทวนและเร่งปรับปรุง ซึ่งปลายปีนี้ ก็น่าจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งของวงใน กับก้าวต่อไปของการเติบโตของหนึ่งในสตาร์ตอัพไทย ที่เป็นไอดอลของสตาร์ตอัพรุ่นน้องหลายๆ คน

 

หน้า 21 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,524 วันที่ 21 - 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

อีกก้าวที่แตกต่างของ Wongnai