“อ้น”ซัด“ช่อ-อนาคตใหม่”ปั่นกระแสป้ายสี“มาดามเดียร์”

19 พ.ย. 2562 | 06:32 น.

 

“อ้น”ซัด“ช่อ-อนาคตใหม่” ปั่นกระแสป้ายสี “มาดามเดียร์” ทั้งที่รู้ว่าไม่เกี่ยวสื่อเนชั่น ย้อนแม่หัวหน้าพรรค และอดีตพิธีกรข่าวมีอิทธิพลกับสื่อด้วยหรือไม่ จี้ “ปิยบุตร”อบรม“ช่อ”อ่านกฎหมายให้แตก 

จากกรณีที่น.ส.พรรณิการ์ วานิช  หรือ “ช่อ” ส.ส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคอนาคตใหม่(อนค.) ออกมาแถลงข่าวพาดพิงไปยังนางสาว น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ทำนองว่ามีความเกี่ยวข้องเป็นเจ้าของสื่อชัดเจน แต่กลับไม่ถูกดำเนินคดีนั้น 

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ หรือ “อ้น” อดีตผู้สมัครส.ส.กทม. รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวยืนยันว่า น.ส.วทันยา ปฏิบัติตามกฎหมายถูกต้องครบถ้วน และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าวใดๆ ของสื่อในเครือเนชั่น จึงขอให้น.ส.พรรณิการ์ ไปทำความเข้าใจเรื่องคุณสมบัติผู้สมัครส.ส. และ ส.ส. ตามมาตรา 98 (3) รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560  ที่ระบุว่า “บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ... เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ” ก่อนที่จะออกมาชี้นำให้สังคมเกิดความสับสน 

เพราะเรื่องนี้น.ส.พรรณิการ์ และพรรคอนาคตใหม่เองรู้อยู่เต็มอกว่า น.ส.วทันยา นั้นทำทุกอย่างถูกต้อง เมื่อกระบวนการขั้นตอนถูกต้องตามคุณสมบัติแล้ว จึงไม่มีความผิด และหากน.ส.พรรณิการ์ กับพรรคอนาคตใหม่ เห็นว่า น.ส.วทันยา ขาดคุณสมบัติส.ส. ตามมาตราใดของรัฐธรรมนูญ ก็สามารถใช้กระบวนการทางกฎหมายยื่นตรวจสอบคุณสมบัติของ ส.ส.ได้  

แต่เมื่อถึงเวลาใกล้กำหนดวันชี้ขาดกรณีของนายธนาธร กลับไปหยิบยกกรณีนี้ขึ้นมา หวังปั่นกระแสสร้างความเข้าใจผิด น.ส.พรรณิการ์ และพรรคอนาคตใหม่ไม่ควรมาแถลงข่าวบิดเบือนให้ผู้อื่นเสียหายเช่นนี้  น.ส. พรรณิการ์ ควร “ตั้งสติ” รอผลคำตัดสินของศาลเสียก่อน เพราะยังไม่มีใครรู้ว่าผลจะออกมาเป็นคุณหรือโทษต่อพรรคอนาคตใหม่ทั้งนั้น   แต่การแถลงข่าวของ น.ส.พรรณิการ์  เมื่อวานนี้ทำให้ประชาชนมีคำถามว่า กระทำเพื่อหวังกดดันกระบวนการพิจารณาคดีของศาลหรือไม่ หรือเป็นการหวังลดความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมของไทยหรือไม่  

                                      “อ้น”ซัด“ช่อ-อนาคตใหม่”ปั่นกระแสป้ายสี“มาดามเดียร์”

 

 

“ขอให้น.ส.พรรณิการ์ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนพูด รวมถึงข้อมูลต่างๆ เพราะทั้ง น.ส.วทันยา และคู่สมรสไม่ได้เป็นเจ้าของผู้ถือหุ้นสื่อใดๆ ทั้งสิ้น และขอให้หยุดชี้นำสังคมว่า นักการเมืองที่มีบุคคลในครอบครัวทำงานด้านสื่อหรือในอดีตนักการเมืองเคยทำงานด้านสื่อ แล้วนักการเมืองท่านนั้นจะมีอิทธิพลต่อสื่อนั้นๆ จะทำให้สื่อออกข่าวให้คุณให้โทษต่อนักการเมืองได้ มิฉะนั้นแล้วหากสังคมถือตามบรรทัดฐานนี้ ประชาชนอาจมองว่าการที่หัวหน้าพรรคการเมืองท่านหนึ่งมีมารดาผู้ให้กำเนิดถือหุ้นสื่อใหญ่ในปัจจุบัน หรือในอดีตโฆษกพรรคการเมืองท่านหนึ่งก็เคยทำงานด้านสื่อ เป็นพิธีกรรายการข่าวและบรรณาธิการข่าว ก็อาจจะมีอิทธิพลต่อสื่อนั้นๆ ด้วยเช่นกัน” น.ส.ทิพานัน กล่าว 

 น.ส.ทิพานัน กล่าวต่อว่า ขอให้นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญทางกฎหมายที่สุด อธิบายกับ น.ส.พรรณิการ์ และสมาชิกพรรคอนาคตใหม่ให้ชัดเจนว่า รัฐธรรมนูญกำหนดข้อห้ามของคู่สมรสและบุตรของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเฉพาะ ในมาตรา 184 ตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น คุณสมบัติของ ส.ส. ตามมาตราอื่น เป็นข้อบังคับเฉพาะตัวของผู้เป็นส.ส. นั้นเอง เช่น มาตรา 98 (3) บัญญัติห้ามผู้สมัคร ส.ส. และ ส.ส. เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ นั้น กฎหมายบัญญัติห้ามใครบ้าง ห้ามบุคคลในครอบครัวเป็นเจ้าของหรือถือหุ้นสื่อหรือไม่ กฎหมายไม่ได้ห้ามอดีตผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับสื่อเข้ามาเป็นนักการเมือง การที่อดีตเคยทำงานสื่อหรือมีบุคคลในครอบครัวหรือไม่ได้หมายความว่าบุคคลนั้นจะครอบงำสื่อได้ 


 

 

รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ประชาชนสงสัยอย่างมากว่า การเคลื่อนไหวต่างๆ ของพรรคอนาคตใหม่ ทั้งการแถลงปิดคดีนอกศาล การจัดงานเวทีพรรค การยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่รัฐที่ทำคดีตามหน้าที่  การสร้างกระแสประดิษฐ์วาทกรรมบั่นทอนความน่าเชื่อถือของศาล การแถลงข่าวกล่าวอ้างเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญกับบิดเบือนข้อมูลที่ไม่ถูกต้องนั้น น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีของนายธนาธร ซึ่งจะมีการตัดสินคดีในวันพรุ่งนี้ใช่หรือไม่ (20 พ.ย.62)   เพราะตัวนายธนาธรเอง คงรู้ข้อเท็จจริงอยู่แก่ใจว่าในขณะที่สมัคร ส.ส.นั้น ได้โอนหุ้นบริษัทวีลัคมีเดียไปแล้วหรือยัง เมื่อจำความอะไรไม่ได้ในศาล ไม่มีพยานหลักฐานที่เป็นความจริงพิสูจน์ว่าตนโอนหุ้นไปแล้ว จึงพยายามสร้างกระแสอื่น ชี้นำสังคมเพื่อให้เป็นคุณประโยชน์แก่ตนเองหรือเปล่า