กกร.ชงตั้งคณะทำงานร่วม3ฝ่าย  หาทางออกบาทแข็งค่า

06 พ.ย. 2562 | 07:19 น.

กกร.นัดถกแบงค์ชาติ-คลังเสนอตั้งคณะทำงานร่มกันเพื่อแก้ปัญหาค่าเงินระยะยาวเบื้องต้นเสนอปรับโครงสร้างอัตราแลกเปลี่ยน พร้อมมองจีดีพีไทยโต 2.7-3.0% ส่วนส่งออกติดลบ 2% เหตุยังมีปัจจัยกระทบหลายด้านเร่งรัฐแก้ไขหวั่นมีผลยืดถึงปี 2563

นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทย และประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.)  ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย กล่าวภายหลังการประชุมว่ากรณีผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท ที่ประชุม กกร. เห็นว่า ภาคเอกชนควรจะแสดงท่าทีที่ชัดเจนไปยังธนาคารแห่งประเทศไทยและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีมาตรการลดผลกระทบเงินบาทที่แข็งค่าเร็ว ซึ่งอาจจะยังส่งผลกระทบมากขึ้นต่อเศรษฐกิจไทยต่อเนื่องไปใน 2563 โดยคงจำเป็นต้องมีการทบทวนนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ย มาตรการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การเพิ่มระยะเวลาการพักเงินรายได้จากการส่งออกในรูปเงินตราต่างประเทศ การคืนภาษีมูลค่าเพิ่มแก่ผู้ส่งออกเร็วขึ้น เป็นต้น รวมไปถึงการผลักดันให้โครงสร้างการส่งออกมีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น  

กกร.ชงตั้งคณะทำงานร่วม3ฝ่าย   หาทางออกบาทแข็งค่า

อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้น กกร. เสนอให้มีการจัดตั้งคณะทำงานระหว่าง กกร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางด้านเศรษฐกิจ รวมทั้ง ธนาคารแห่งประเทศไทย และ กระทรวงการคลัง เพื่อร่วมกันหาแนวทางดำเนินการต่อไป ซึ่งคาดว่าจะทำหนังสือถึง2หน่วยงานภายในสัปดาห์หน้า สำหรับในระยะกลางและระยะยาว ภาคเอกชนจะเร่งการพัฒนาด้านต้นทุนและราคา โดยต้องพัฒนานวัตกรรมและสินค้าใหม่ๆ ออกมาเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มประสิทธิภาพของสินค้าไทยให้มีศักยภาพ    

กกร.ชงตั้งคณะทำงานร่วม3ฝ่าย   หาทางออกบาทแข็งค่า

 สำหรับ แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปีหน้า  ยังอยู่ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยง ทั้งจากทิศทางเศรษฐกิจหลักในโลกที่ชะลอลง ผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน รวมถึงเงินบาทที่ยังคงแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่จะยังคงสร้างแรงกดดันต่อการส่งออกและความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทย  ประกอบกับ สถานการณ์คำสั่งซื้อจากการส่งออกที่ชะลอลง หากยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง ก็อาจสร้างผลกระทบต่อประเด็นการจ้างงานและกำลังซื้อภายในประเทศเป็นวงกว้างมากขึ้นในอนาคต   ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นชอบในการคงกรอบประมาณการเศรษฐกิจไว้ทั้งปี 2562 อยู่ที่  2.7-3.0%  การส่งออกทั้งปีอยู่ที่ ติดลบ 2% ถึง  0%  ขณะที่กรอบเงินเฟ้ออยู่ที่  0.8-1.2%  จากหลายปัจจัยที่ประเทศไทยได้รับผลกระทบ อาทิ  ไทยถูกตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี)  สงครามการค้า  เป็นต้น  แต่อย่างไรก็ดี  เพื่อให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันในตลาดได้  ที่ประชุมเห็นว่ารัฐบาลควรเร่งรัดและหามาตรการช่วยเหลือ

กกร.ชงตั้งคณะทำงานร่วม3ฝ่าย   หาทางออกบาทแข็งค่า

สำหรับมาตรการที่เห็ว่าภาครัฐควรที่จะเร่งดำเนินการ ภาครัฐควรเร่งเจรจากับสหรัฐฯ ก่อนที่จะมีการตัดสิทธิจีเอสพี และควรจะต้องมีประสานงานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 1. ประสานงานต่อกระทรวงแรงงาน 2. การจัดทำ Early Warning สำหรับสินค้าที่อาจถูกตัดสิทธิ  และ 3. นำประเด็นนี้เข้าหารือในการประชุม กรอ. (พาณิชย์) และสมาคมการค้าสหรัฐฯ นอกจากนี้ ทางภาครัฐควรร่วมมือกับภาคเอกชนโดยให้การสนับสนุนในการพัฒนายกระดับคุณภาพสินค้าและการเจาะตลาดใหม่ๆ พร้อมทั้งดูแลระดับอัตราแลกเปลี่ยนให้แข่งขันได้ยิ่งขึ้น   เพื่อให้ประเทศไทยยังสามาถแข่งขันและผลักดันการส่งออกไปได้

ทั้งนี้  จากข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงตุลาคม 2562 แสดงให้เห็นว่า ตัวเลขการจ้างงานได้ปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน ต่อเนื่องกันมา 4 เดือนแล้ว  ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวล  แม้ประเทศไทยจะได้รับข่าวดีว่า ธนาคารโลกได้เผยแพร่การจัดอันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ (Doing Business 2020) ของประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวม 190 ประเทศ โดยประเทศไทยได้อันดับที่ 21 ของโลก ดีขึ้น 6 อันดับ จากอันดับที่ 27 ในปีที่ผ่านมา  ก็ตาม  ส่วน โครงการ ชิมช้อปใช้ เฟสแรก และเฟสสอง ได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นจำนวนมาก  ซึ่งรัฐบาลกำลังพิจารณาว่าจะขยายโครงการเฟส 3 ต่อ อีก โดยทาง กกร. มองว่า โครงการนี้จะสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 และทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบได้มากขึ้น