รมว.คลัง เผย IMF ชมเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง แม้โตไม่เต็มศักยภาพ 4% ชี้ ยังสามารถใช้นโยบายการเงิน-คลัง ประคองเศรษฐกิจเพิ่มได้อีก เชื่อมาตรการกระตุ้นทำไตรมาส 3 ฟื้น
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการหารือกับ Ms. Kristalina Georgieva กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ว่า สถานการณ์เศรษฐกิจโลกและไทยในปัจจุบัน ยังมีความท้าทายจากหลายปัจจัย ทั้งสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน รวมถึง Brexit ที่จะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกและไทยชะลอตัวลงแต่ IMF ยังมองว่าไทยมีเศรษฐกิจมหภาคที่แข็งแกร่ง และมีเครื่องมือทางการเงิน การคลังที่จะใช้ดูแลเศรษฐกิจได้ดีอยู่ในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม IMF ยังให้คำแนะนำว่า ไทยยังมีช่องทางในการใช้เครื่องมือทางการเงินการคลังที่จะประคับประคองเศรษฐกิจให้ผ่านพ้นสถานการณ์ขณะนี้ไปได้อีก
“ไทยยังโชคดีที่เศรษฐกิจมหภาคแข็งแกร่ง แต่ก็ยังมีความสามารถที่จะใช้เครื่องมือทั้งด้านการเงินและการคลัง ที่จะดูแลเศรษฐกิจในช่วงเวลานี้ได้อีก ซึ่ง IMF มีมุมมองว่า ไทยควรพิจารณาใช้เครื่องมือทุกเครื่องมือที่มี เพื่อดูแลเศรษฐกิจอย่างเต็มที่”นายอุตตม กล่าว
ขณะเดียวกัน IMF ยังสนับสนุนไทยในการขับเคลื่อนการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจไทย เพื่อให้มีเสถียรภาพและขยายตัวได้อย่างยั่งยืน โดยที่ผลประโยชน์ตกถึงประชาชนอย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการปฎิรูปด้านการพัฒนาบุคลากร เรื่องเทคโนโลยีดิจิทัล และอื่นๆ ตลอดถึงการใช้แนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ด้วย
"เราไม่ได้นิ่งนอนใจ เราก็คิดมาตรการเอาไว้ว่ายังจะจำเป็นที่ต้องใช้กระตุ้นเศรษฐกิจอีกหรือไม่ ยังบอกไม่ได้ว่ามีตอนไหน ต้องดูจังหวะเวลา ปีนี้ก็ยังเหลืออีก 2 เดือน ต้องดูความเหมาะสมอีก"นายอุตตม กล่าว
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 นั้น นายอุตตม ยังไม่สามารถประเมินได้ในขณะนี้ แต่จากไตรมาส 3 ที่ผ่านมา พบว่าการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลนั้น เริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้น เนื่องจากมีเม็ดเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบ และส่งผลในด้านจิตวิทยาให้คนจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ถือเป็นแนวโน้มที่ดี แม้ว่าทั้งปีเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้ต่ำกว่าศักยภาพที่ 4% ก็ตาม
นอกจากนี้ นายอุตตม ยังได้กล่าวถึงการหารือแบบทวิภาคี กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐ ว่า ได้มีกรอบเจรจากันใน 2 ส่วน ประกอบด้วย ความสนใจของสหรัฐในการเข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุนด้านการปฏิรูปโครงสร้างประเทศ โดยเฉพาะการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รวมถึงลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน สาธารณูปโภคพื้นฐาน และด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลด้วย เนื่องจากบริษัทในสหรัฐมีความชำนาญด้านดังกล่าว รวมถึงการสอบถามไทยถึงขั้นตอนในการร่วมลงทุนและการจัดซื้อจัดจ้างของไทยด้วยว่ามีความสะดวกในการเข้ามาลงทุนมากน้อยเพียงใด
ขณะที่สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร(GSP) นั้น ไม่ได้มีวาระในการเจรจาอย่างเป็นทางการ แต่เชื่อว่าไทยยังมีเวลาในการเจรจากับสหรัฐอีก 6 เดือน ซึ่งคาดว่าน่าจะมีทิศทางที่ดีกับทั้ง 2 ประเทศ