โรงไฟฟ้าแผ่ว Q3 อ่อนแอ ชิงขายทำกำไร

03 พ.ย. 2562 | 08:00 น.

ราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าปรับลดลงต่อเนื่อง หลังถูกขายทำกำไรจากราคาส่วนใหญ่เกินมูลค่าพื้นฐาน 5-20% เผยครึ่งหลังเดือนตุลาคม EA อ่วมสุด ดิ่ง 19.60% GULF ไม่น้อยหน้า ลดลง 5.26% โบรกฯเผย นักลงทุนเปลี่ยนมุมมองเศรษฐกิจโลก ยอมทิ้งสินทรัพย์เสี่ยง และปรับลดประมาณการ แนะรอจังหวะซื้อ

ในช่วงที่ดอกเบี้ยอยู่ในภาวะขาลง รวมถึงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว 10 ปีปรับลดลง ทำให้นักลงทุนปรับเปลี่ยนการลงทุนใหม่ด้วยการกลับมาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างตลาดหุ้น ซึ่งที่ผ่านมาแม้ความผันผวนในตลาดหุ้นจะยังมีอยู่ แต่นักลงทุนได้เลือกลงทุนในหุ้นที่มีความเสี่ยงน้อย ปลอดภัย และมีผลการดำเนินงานที่สมํ่าเสมอ โดยเฉพาะกลุ่มโรงไฟฟ้า ที่ได้รับความสนใจจนทำให้ราคาหุ้นของโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ปรับเพิ่มขึ้นจนเต็มมูลค่าพื้นฐาน และล่าสุดได้มีการเทขายทำกำไรออกมาต่อเนื่อง

รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2562 ปรับลดลง โดย 5 อันดับแรกของโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ ที่ราคาลดลงมากที่สุด ตั้งแต่วันที่ 16-31 ตุลาคม 2562 คือ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (บมจ.) (EA) ลดลง 10.00 บาท หรือ -19.60% อยู่ที่ 41 บาท, บมจ.บ้านปู เพาเวอร์ (BPP) ลดลง 1.50 บาท หรือ 7.93% อยู่ที่ 17.40 บาท, บมจ. ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) ลดลง 0.45 บาท หรือ 6.52% อยู่ที่ 6.45 บาท, บมจ.ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น (SUPER) ลดลง 0.04 บาท หรือ 6.25% อยู่ที่ 0.60 บาท และบมจ.ผลิตไฟฟ้า (EGCO) ลดลง 22.00 บาท หรือ 5.96% อยู่ที่ 347.00 บาท ขณะที่หุ้นที่ร้อนแรงที่สุดอย่าง บมจ. กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) ลดลง 9.00 บาท หรือ 5.26% อยู่ที่ 162.00 บาท

โรงไฟฟ้าแผ่ว  Q3 อ่อนแอ  ชิงขายทำกำไร


 

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าที่ปรับลดลงในช่วงที่ผ่านมา มาจากการขายทำกำไรของนักลงทุน หลังจากหุ้นโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ 5-6 ราย ราคาได้ปรับขึ้นจนเกินมูลค่าพื้นฐาน 5-20% ทำให้เกิดการเก็งกำไร ทั้งนี้ต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวอีกระยะหนึ่ง เพื่อรอจังหวะเข้าซื้อในช่วงที่ราคาหุ้นลดลง และเริ่มมี Upside ที่ดีขึ้น

ขณะที่ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว 10 ปี เริ่มกลับมาสูงขึ้น จากภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้น ทำให้นักลงทุนเปลี่ยนมุมมองจากเศรษฐกิจถดถอยเป็นเศรษฐกิจเติบโตเล็กน้อย ส่งผลให้เกิดการลดความเสี่ยงในการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง และกลับไปลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยอีกครั้ง

สำหรับแนวโน้มผลประกอบการของกลุ่มโรงไฟฟ้าในไตรมาส 3 ปี 2562 คาดว่าจะออกมาตํ่ากว่าไตรมาส 2 เพราะในช่วงครึ่งปีแรกและไตรมาส 2 จะเป็นช่วงที่ดีที่สุดของกลุ่มโรงไฟฟ้า แต่ในครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะไตรมาส 4 จะเป็นช่วงที่แย่ที่สุด จากการใช้ไฟฟ้าที่ต่ำและกิจกรรมที่ลดลง ซึ่งโรงไฟฟ้าส่วนใหญ่จะปิดซ่อมบำรุงในไตรมาส 4 นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่จะถูกปรับลดประมาณการและลดน้ำหนักการลงทุน

ด้านบล.ทิสโก้ฯ ระบุว่า ได้ปรับประมาณการของกลุ่มโรงไฟฟ้าลง หลังจากที่เศรษฐกิจมหภาคเริ่มส่งผลกระทบ ผลตอบแทนที่ตํ่า และเงินบาทที่แข็งค่า เป็นปัจจัยหนุนกลุ่มโรงไฟฟ้า ราคาเพิ่มขึ้นตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันกว่า 55-117% เมื่อเทียบกับตลาดที่ 4% แต่เชื่อว่าปัจจัยสนับสนุนต่างๆ เริ่มหมดลง โดยคาดว่าดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 1.50% และในกรณีที่เศรษฐกิจแย่ลงคาดว่าดอกเบี้ยจะลดลง 0.25% ในไตรมาส 4

ขณะเดียวกัน การให้ใบอนุญาต IPP 2 ใบในทางภาคตะวันตก ทำให้มองว่าในระยะกลางถึงยาวการลงทุนน่าจะลดลง และหันไปเน้นขนาดเล็กแทน เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจในชุมชน และปัญหาพลังงานล้นระบบจะยังคงมีต่อเนื่องหลังการเติบโตของเศรษฐกิจช้ากว่าคาด และจากแผน PDP ในอนาคตโรงไฟฟ้าใหม่จะเข้ามาหลังปี 2573 เป็นต้นไป ทำให้การประมูลเร็วสุดคือปี 2568

บล.เอเซียพลัส ระบุว่า หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าถูกแรงขายทำกำไรออกมา หลังจากที่ตลอดปีนี้ หุ้นในกลุ่มนี้ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ โดยแรงซื้อก่อนหน้านี้ มาจากความคาดหวังการเติบโตของกำไร และกระแสการหลบเลี่ยงเข้ามาลงทุนในหุ้น Domestic ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามทางการค้า ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นโดดเด่นมาก แต่เมื่อราคาได้ปรับเพิ่มขึ้นสูง จึงมีการปรับฐานเกิดขึ้น ดังนั้น หากจะลงทุนหุ้นกลุ่มนี้ ก็จำเป็นต้องกลับมาพิจารณามูลค่าพื้นฐานเป็นหลัก

 

หน้า 17 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,519 วันที่ 3-6 พฤศจิกายน 2562

โรงไฟฟ้าแผ่ว  Q3 อ่อนแอ  ชิงขายทำกำไร