รมว.อุตสาหกรรมเดินหน้าลุยปัญหา PM 2.5 เร่งบังคับใช้มาตรฐานเทียบเท่า Euro 5 ในปี 64 พร้อมเดินหน้าพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า การดำเนินการในระยะต่อไปของกระทรวงจะเป็นการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 โดยจะเร่งการบังคับใช้มาตรฐานมลพิษจากรถยนต์ที่เทียบเท่า Euro 5 ให้แล้วเสร็จภายในปี 64 ซึ่งสอดรับตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติที่ได้เห็นชอบให้มีการประกาศใช้มาตรฐานการระบายสารมลพิษจากเครื่องยนต์ให้เทียบเท่า Euro 5 ในปี 64 และ Euro 6 ในปี 65 เพื่อลดผลกระทบจากอุตสาหกรรมที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง
ทั้งนี้ กระทรวงยังได้จัดทำ “โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้สำหรับหม้อน้ำและหม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็นสื่อนำความร้อน เพื่อการอนุรักษ์พลังงานและลดฝุ่นละออง PM 2.5 ของโรงงานในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล” ประกอบด้วย กิจกรรมสำรวจระบบการเผาไหม้และอุปกรณ์บำบัดฝุ่น กิจกรรมตรวจประเมินประสิทธิภาพการเผาไหม้ โดยตรวจวัดฝุ่นละออง PM 2.5 จากแหล่งกำเนิดโดยตรง ตรวจวัดฝุ่นละอองในบรรยากาศ PM 2.5 PM 10 และฝุ่นละอองรวม (TSP) ในพื้นที่โรงงานหนาแน่นและพื้นที่อ่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม ในสถานการณ์ปัญหาฝุ่นละอองในแต่ละภูมิภาค และกิจกรรมฝึกอบรมการปรับแต่ง บำรุงรักษา และควบคุมอุปกรณ์การเผาไหม้ ให้กับบุคคลากรของภาครัฐ เอกชนและโรงงานกว่า 200 คน
นอกจากนี้ ยังจะดำเนินการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ประกอบด้วย 1.มาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทยหรือ xEV โดยการกำหนดกระบวนการผลิตของชิ้นส่วน EV Core Technology ,ออกประกาศกระบวนการผลิตที่เป็นสาระสำคัญของชิ้นส่วนสำคัญของยานยนต์ไฟฟ้า ,ยกระดับมาตรฐานรถยนต์ให้เทียบเท่ามาตรฐานสากลในปัจจุบัน เช่น ปรับปรุงมาตรฐานมลพิษของรถยนต์ให้เทียบเท่า Euro 6 อีกทั้งยังมีการสานต่อการดำเนินโครงการศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติสามารถเปิดให้บริการศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ ภายใต้งบประมาณ 3,705.07 ล้านบาท บนพื้นที่ จำนวน 1,235 ไร่ ณ หมู่ที่ 1 ต.ลาดกระทิง อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา เริ่มเปิดให้บริการทดสอบยางล้อตามมาตรฐาน UN R117 ตั้งแต่เดือนกันยายน 2562 ทำให้ผู้ประกอบการประหยัดค่าใช้จ่ายไม่ต้องส่งทดสอบต่างประเทศ คิดเป็นมูลค่าประมาณเดือนละไม่น้อยกว่า 6 ล้านบาท
,2.มาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารปี พ.ศ. 2562 – 2571 โดยจัดทำมาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร (Future Food) ระยะ 10 ปีแล้วเสร็จ มุ่งเน้นการยกระดับผู้ประกอบการให้เป็นนักรบพันธุ์ใหม่ รวมทั้งการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันด้วยการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม โดยหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอกอุตสาหกรรม สามารถใช้เป็นกรอบแนวทางในการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารแบบบูรณาการ
,3.การขับเคลื่อนมาตรการการพัฒนาอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ โดยผลักดันให้เกิดการใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติในภาคการผลิตและบริการเพิ่มขึ้น ซึ่งมียอดส่งเสริมการลงทุนเพื่อการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตโดยใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติแล้ว 65 กิจการ มูลค่ากว่า 9,642 ล้านบาท มีการจัดตั้งและขยายโรงงานในอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และอัตโนมัติ รวมถึงโครงการที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุน มูลค่ารวมกว่า 6,877 ล้านบาท ขยายเครือข่ายการทำงานของ (Center of Robotics Excellence – CoRE) เป็น 15 หน่วยงาน จากเดิม 9 หน่วยงาน ทั้งนี้ CoRE ได้พัฒนาหุ่นยนต์ฯ 85 ต้นแบบ และพัฒนา System Integrator (SI) แล้วจำนวน 770 คน
4.โครงการ InnoSpace (Thailand) ได้มีการลงนามความร่วมมือพันธมิตรด้านการลงทุนในการส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรม ผู้ประกอบการ และวิสาหกิจเริ่มต้น วงเงิน 800 ล้านบาท โดยหน่วยงานพันธมิตรด้านการลงทุน 22 หน่วยงาน ได้ร่วมกันสนับสนุนเงินทุนสำหรับการดำเนินงาน เพื่อสร้าง National Platform สนับสนุน Startup ตลอดวงจรชีวิต อย่างเป็นรูปธรรม
และ5.เกษตรอุตสาหกรรม ซึ่ง อก. โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้ดำเนินโครงการยกระดับศักยภาพ SMEs อุตสาหกรรมอาหารแปรรูปด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี ร่วมกับสถาบันอาหารภายใต้ศูนย์ ITC-Mie Thailand Innovation Center ประกอบด้วย กิจกรรมฝึกอบรม 24 เทคโนโลยีในการแปรรูป พร้อมทดลองปฏิบัติ 50 กิจการ และกิจกรรมพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ 20 กิจการ ก่อให้เกิดการสร้างมูลค่าเพิ่ม 15% ต่อผลิตภัณฑ์
นายสุริยะ กล่าวต่อไปถึงผลงานในช่วง 99 วันที่ผ่านมา ว่า ได้ดำเนินการร่วมกับภาคเอกชนโดยเฉพาะสภาอุตสาหกรรม เช่น การส่งเสริม Ease of Doing Business, การส่งเสริม Made in Thailand เป็นต้น และตอบโจทย์ของประชาชนในพื้นที่ เช่น การเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยสามารถจัดกลุ่มผลงานออกมาเป็น 5 เรื่องหลัก ซึ่งล้วนเป็นเรื่องที่สอดรับกับข้อเสนอภาคเอกชน สภาอุตสาหกรรม และประชาชน เริ่มจาก 1.การสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคอุตสาหกรรม โดยส่งเสริม Made in Thailand โดยบูรณาการร่วมกับสภาอุตสาหกรรมฯ อย่างใกล้ชิด โดยได้ดำเนินการใน 2 ประเด็นหลัก คือ (1) การเชิญชวนและดึงดูดนักลงทุน ผู้ประกอบการต่างชาติ ให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยที่ผ่านมาได้นำคณะเยือนประเทศเวียดนาม (30 ส.ค.62 – 1 ก.ย.62) เพื่อหารือนโยบายส่งเสริมการลงทุนของเวียดนาม จากนั้นได้นำคณะเยือนประเทศญี่ปุ่น (24 - 28 ก.ย.62) เพื่อเจรจาความร่วมมือด้านการส่งเสริมและพัฒนาภาคอุตสาหกรรมระหว่างกัน โดยได้เข้าพบผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมญี่ปุ่น หรือ METI ซึ่งญี่ปุ่นยืนยันความพร้อมของไทยในการเป็นศูนย์กลางการลงทุนจากต่างประเทศ เพื่อเชื่อมโยงการลงทุนไปสู่ภูมิภาคอาเซียนโดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV นอกจากนี้ ได้เข้าเยี่ยมชมบริษัทมิตซูบิชิ มอเตอร์ เพื่อหารือด้านการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมยานยนต์และแลกเปลี่ยนแนวคิดการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย โดยมิตซูบิชิมีแผนที่จะขยายการลงทุนผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบ PHEV ในไทยภายในปี 2563
“ตนและนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปยังประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน และเขตบริหารพิเศษฮ่องกง (21-25 ต.ค. 2562) เพื่อหารือความร่วมมือด้านการพัฒนาอุตสาหกรรม ดิจิทัล นวัตกรรม และการสนับสนุน Start up กับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน พร้อมเชิญชวนให้นักลงทุนจีนและฮ่องกงมาลงทุนหรือขยายการลงทุนในพื้นที่ EEC และพื้นที่การลงทุนเป้าหมายของไทยโดยเฉพาะในช่วงของTrade war นี้ (2) ร่วมกับบีโอไอจัดทำกรอบและแนวทางการปรับปรุงสภาพแวดล้อมของการลงทุน เพื่อชักจูงและรองรับการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติมายังประเทศไทย ใช้ชื่อโครงการว่า “Thailand Plus Package” เพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์ อำนวยความสะดวก เพิ่มประสิทธิภาพการตัดสินใจแก่นักลงทุน และคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2562 โดยมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมจัดเตรียมและจัดหาที่ดินสำหรับ นักลงทุน ซึ่งได้จัดเตรียมพื้นที่รองรับไว้แล้ว ประมาณ 6,466 ไร่”
2.การพัฒนาอุตสาหกรรมเชิงพื้นที่ โดยดำเนินการพัฒนานิคมในพื้นที่ EEC ในโครงการท่าเรืออุตสาหกรรม มาบตาพุดระยะที่ 3 ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักโครงการแรก 1 ใน 5 Mega Project List ในพื้นที่ EEC เพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ในพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 1,000 ไร่ โดยได้ร่วมลงนามในสัญญาร่วมลงทุนระหว่างการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กับ บริษัท กัลฟ์ เอ็มทีพี แอลเอ็นจี เทอร์มินอล จำกัด มูลค่าโครงการประมาณ 47,900 ล้านบาท โดยหลังจากดำเนินการพัฒนาแล้วเสร็จ จะสามารถรองรับสินค้าผ่านท่อก๊าซธรรมชาติและสินค้าด้านปิโตรเคมีได้เพิ่มอีกประมาณ 14 ล้านตันต่อปี
3.การปฏิรูปกระทรวงอุตสาหกรรมไปสู่ Smart Government โดยการนำระบบ i-Industry มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนที่มาติดต่อรับบริการ ในรูปแบบ One Stop Service และเชื่อมโยงข้อมูลให้เป็นหนึ่งเดียวทั้งกระทรวงฯ เช่น ระบบการขอใบอนุญาต รง.4 ออนไลน์ ระบบการขอใบอนุญาตมาตรฐานผลิตภัณฑ์ออนไลน์ ระบบการชำระค่าธรรมเนียมรายปี ซึ่งผู้ประกอบการสามารถติดตามสถานะของการดำเนินงานได้ด้วยตนเอง โดยเริ่มให้บริการทั่วประเทศตั้งแต่เดือนกันยายน 2562 มีผู้ประกอบการเข้ามาใช้บริการแล้วกว่า 5,000 ราย นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมยังได้พัฒนาระบบE-licenseเพื่ออำนวยความสะดวกโดยผู้ประกอบการสามารถยื่นคำร้องผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ไม่ต้องเดินทางมาที่สถานที่ราชการ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี อาทิ การขอใบอนุญาตตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) และใบรับรองตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) รวม 9,350 ฉบับ ซึ่งมากกว่าปีที่ผ่านมากว่า 2 เท่าตัว
4.ทะลวงอุปสรรค ลดขั้นตอนผู้ประกอบการ SMEs และ Start up ในการเข้าถึงสินเชื่อโดยได้ดำเนินโครงการ “สินเชื่อ SME โตไว ไทยยั่งยืน” ภายใต้กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ วงเงิน 3,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยต่ำเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ต่อปี วงเงินกู้สูงสุด 3 ล้านบาทต่อราย ระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 7 ปี โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ 1) กลุ่มธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม ธุรกิจเกษตรแปรรูป (Agro Industry) ประเภทอาหาร และที่ไม่ใช่อาหาร 2) กลุ่มผู้ผลิต หรือออกแบบในธุรกิจอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Industry) และ 3) กลุ่มธุรกิจที่จะใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการปรับปรุงกิจการให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น (Digital Transformation) ทั้งนี้ ผมได้สั่งการลดขั้นตอนการขอสินเชื่อจากปกติที่ต้องใช้ระยะเวลา 3 เดือน เหลือเพียงไม่ถึง 1 เดือน เท่านั้น โดยสามารถยื่นคำขอสินเชื่อได้ที่อุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศตั้งแต่ 15 พฤศจิกายน 2562 ผมตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อ 3,000 ล้านบาท ให้เสร็จสิ้นในระยะเวลา 3 เดือน
5.การดูแลประชาชนและผู้ประกอบการ กระทรวงอุตสาหกรรมได้เล็งเห็นถึงความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนในการใช้สินค้าต่างๆ จึงดำเนินการกำหนดมาตรฐานอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น จำนวน 244 เรื่อง เพิ่มขึ้นถึง 495 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 ซึ่งมีการประกาศมาตรฐาน เพียง 41 เรื่องและผมได้กำชับเจ้าหน้าที่ให้เคร่งครัดการตรวจสอบ ส่งผลให้มีการพักใช้ใบอนุญาตผู้ที่ไม่แจ้งข้อมูลปริมาณการนำเข้าสินค้า จำนวน 3,566 ฉบับ ซึ่งมากเป็นประวัติการณ์ โดยตลอด 50 ปีที่ผ่านมาของ สมอ. มีการพักใบอนุญาตเพียง 50 ฉบับเท่านั้น
นอกจากนี้จากเหตุการณ์อุทกภัยพายุโพดุล กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้ออกมาตรการเร่งด่วน 7 มาตรการ โดยได้ลงพื้นที่ภาคอีสาน 4 จังหวัด ทำทันที ซ่อมสร้าง ฟื้นฟู ช่วยเหลือประชาชนและ ผู้ประกอบการกิจการโรงงานเอสเอ็มอี หรือวิสาหกิจ ยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปี และค่าธรรมเนียมจดทะเบียนเครื่องจักรให้กับสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบเป็นเวลา 3 ปี