เอาให้แน่..ธนาธรหนุนไม่หนุนม๊อบฮ่องกง (มีคลิปพร้อมคำแปล)

30 ต.ค. 2562 | 01:25 น.

เมื่อวันที่ 28 ต.ค. นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ร่วมเวทีเสวนา “เปิดมุมมอง ปรับความคิด ความร่วมมือไทย-จีน” ซึ่งจัดโดย สมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน ที่โรงแรมดิ เอมเมอรัลด์

โดยตอนหนึ่ง นายธนาธร ได้ชี้แจงกรณีภาพถ่ายคู่กับนายโจชัว หว่อง นักกิจกรรมฝ่ายประชาธิปไตยฮ่องกงว่า ภาพนี้มีที่มาจากที่ไปร่วมงานเสวนาที่ฮ่องกง และเผอิญคนจัดงานได้เชิญโจ ชัว หว่อง มาพูดในงานเดียวกันด้วย แต่พูดคนละเวทีกัน เมื่อตัวเองพูดเสร็จนายหว่องได้เข้ามาขอถ่ายรูปด้วย “ผมไม่ได้เป็นฝ่ายขอถ่ายรูปก่อนด้วยซ้ำ” และได้ถ่ายรูปกับฝ่ายที่พูดสนับสนุนจีนแผ่นใหญ่ด้วย แต่กลับมีการนำภาพๆเดียวขึ้นมาเป็นประเด็น สื่อมวลชนจำนวนหนึ่งเอารูปถ่ายแค่รูปเดียวมาบอกว่า ผมสนับสนุนการประท้วงในฮ่องกง

“ผมไม่เคยสนับสนุนม็อบฮ่องกงในทางใดทางหนึ่ง ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม ผมไม่มีเจตนาแอบแฝงใดๆ และจนถึงทุกวันนี้ ยังไม่มีใครเอาหลักฐานมาแสดงได้ว่าตนเคยสนับสนุนม็อบฮ่องกงอย่างไรบ้างแม้แต่คนเดียว” นายธนาธรกล่าว

ขณะที่ทีมข่าวเศรษฐกิจได้แปลคำพูดของนายธนาธรที่ขึ้นเวทีเสวนาที่ฮ่องกง และเผยแพร่ทางยูทูปโดย 4289วิสัยทัศน์ มีเนื้อหาในตอนท้ายที่กล่าวถึงม๊อบในฮ่องกงว่า “ความจริงแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นในฮ่องกงหลายปีที่ผ่านมา เป็นแรงบันดาลใจให้เรา ย้อนกลับไปเมื่อปี 2018 ตอนที่เราตัดสินใจก่อนที่จะเริ่มตั้งพรรคการเมือง มีสองทางเลือกคือการเคลื่อนไหว หรือจะตั้งพรรคการเมือง เป็นการถกเกียงกันของผู้ก่อตั้งพรรคในเวลานั้น และเลือกตั้งพรรคเมืองเพราะ ในปี 2010 ที่มีความแตกแยกมีคนบาดเจ็บ มีคนตายจำนวนมากและเหตุการณ์เพิ่งเกิด ไม่คิดว่าสาธารณะจะเคลื่อนไหวในแบบนั้นอีก ผู้คนยังมีความกลัวอยู่ในใจ อีกทางเลือกที่เหลืออยู่คือพรรคการเมือง และฮ่องกงเป็นแรงบันดาลใจให้เรา”

 


ส่วนเนื้อหาบนเวทีในประเทศไทย นายธนาธร เล่าว่า ตลอดการทำงานที่ผ่านมาได้เดินทางไปจีนมาแล้วมากกว่า 40 ครั้ง ครั้งแรกที่เดินทางไปเซ็นสัญญาทำธุรกิจคือปี 2006 แต่โชคร้ายเกิดวิกฤตเศรษฐกิจเสียก่อนจึงได้ชะลอไป จนได้กลับไปอีกครั้งในปี 2008 นับตั้งแต่ได้ไปลงทุนมาจนถึงวันนี้ บริษัทที่เคยบริหารมีฐานการผลิตถึง 3 แห่ง ที่ซูโจว ฟุเจี้ยน และกวางตุ้ง ใน 3 โรงงานมีพนักงานคนไทยที่เป็นผู้บริหารโรงละ 3-5 คน ส่วนตัวเองได้มีโอกาสไปปีละประมาณ 4-5 ครั้ง รู้จักเจ้าหน้าที่ๆ ดูแลมณฑล ลูกค้าบริษัทต่างชาติ มีพันธมิตรมากมาย เม็ดเงินลงทุนวันนี้น่าจะตกประมาณ 4 พันล้านบาท ลงทุนในสินค้าไฮเอนด์ บางตัวเป็นเทคโนโลยีที่เราไม่เคยใช้มาก่อนนายธนาธร กล่าวต่ออีกว่า บริษัทในจีนเองมีการส่งเสริมธุรกิจจากประเทศไทยหลายอย่าง การผลิตสินค้าในจีนขึ้นชื่อในเรื่อง ถูก, เร็ว, ดี หลายผลิตภัณฑ์ในช่วงเศรษฐกิจดีเรานำเข้าสินค้าจากจีนกว่า 300 ล้านบาท บางสิ่งเราไม่มีเรานำเข้าจากจีน บางอย่างจีนไม่มีเราก็นำไปลงทุน เห็นว่ายังมีโอกาสอีกมากที่บริษัทจีนจะมาสร้างเสริมความสัมพันธ์กับบริษัทไทยให้ก้าวไกลได้


นายธนาธร กล่าวอีกว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมา มีสิ่งที่เราควรเรียนรู้จากจีนอยู่ 2-3 ข้อ ประเด็นแรก คือการก้าวข้ามจากประเทศกำลังพัฒนาหรือการก้าวพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลางเป็นประเทศพัฒนาแล้ว สิ่งที่สำคัญมากคือ จะต้องมีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง ถ้าเรายังไม่สามารถสร้างเทคโนโลยีในประเทศไทยได้เอง เราจะไม่สามารถก้าวข้ามผ่านกับดักรายได้ปานกลางได้เลย ประเด็นต่อมา คือ ปัจจัยความสำเร็จที่คนไทยยังไม่ค่อยมองเห็น เรื่องกระจายอำนาจ แต่ละมณฑลของจีนสามารถบริหารจัดการตัวเองได้ สำนักงานใหญ่ของบริษัทต่างๆ ไม่ได้ถูกรวมศูนย์ที่ปักกิ่งอย่างเดียว หลายๆ บริษัทใหญ่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ต่างจังหวัด ความเป็นอิสระของแต่ละมณฑลทำให้การพัฒนาไม่ถูกรวมศูนย์ เกิดการกระจายรายได้กระจายงานไปสู่แต่ละมณฑล ถ้าเรามองย้อนไปยังรูปแบบการพัฒนาของจีน จะเห็นว่าในช่วง 20 ปีแรกการพัฒนาถูกเน้นหนักไปทางจังหวัดชายฝั่งภาคตะวันออกเสียส่วนใหญ่ แต่ระยะหลังก็เริ่มมีการพัฒนากระจายไปสู่ทางตะวันตกเป็นหลัก นี่คือสิ่งที่ตนอยากเห็น คือการพัฒนาเอางานเอาความมั่งคั่งไปยังต่างจังหวัดให้มากขึ้น

นายธนาธร กล่าวว่า อีกประเด็นที่น่าสนใจ คือบทเรียนสำหรับประเทศอาเซียน ส่วนหนึ่งที่จีนสามารถเติบโตได้ขนาดนี้ ก็เพราะจีนมีตลาดภายในที่ใหญ่มาก นโยบายอุตสาหกรรมของจีนก็สอดรับกับความต้องการ เมื่อย้อนกลับมาดูอาเซียน จะเห็นได้ว่าต่างคนต่างมีการผลิตแข่งกันเอง ไม่เกิดการแลกเปลี่ยนสินค้าภายใน ซึ่งตนคิดว่าในอนาคตเราจำเป็นจะต้องมีนโยบายอุตสาหกรรมในระดับอาเซียน ต้องมีการค้าภายในอาเซียนที่เยอะขึ้น ซึ่งจะทำเช่นนั้นได้ การเมืองระดับประเทศและกฎหมายของแต่ละประเทศจะต้องไปด้วยกัน