เตือน 22 จังหวัดเสี่ยงแล้ง ครม.สั่งเตรียมรับมือ

29 ต.ค. 2562 | 09:31 น.

 

ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุม ครม.ว่า ที่ประชุมรับทราบรายงานสถานการณ์พื้นที่เสี่ยงภัยแล้งปี 2562/63 และพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยภาคใต้ปี 2562 พร้อมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามมาตรการรองรับโดยด่วนเพื่อเตรียมพร้อมรับมือและป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้น โดยมีรายละเอียดดังนี้ พื้นที่เสียงภัยแล้งปี 2562/63 ซึ่งประเทศไทยจะเข้าสู่ฤดูแล้งตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 มีดังนี้ 

เตือน 22 จังหวัดเสี่ยงแล้ง ครม.สั่งเตรียมรับมือ
  

1.พื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำเพื่ออุปโภคบริโภค แบ่งเป็น พื้นที่ในเขตการประปาส่วนภูมิภาคที่ต้องเฝ้าระวังการขาดแคลนน้ำ 22 จังหวัด 56 อำเภอ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อจำนวนผู้ใช้น้ำ จำนวน 7.17 แสนราย ได้แก่ ภาคเหนือ 7 จังหวัด ใน 19 อำเภอ คือ เชียงใหม่ ลำปาง พะเยา เชียงราย นครสวรรค์ พิจิตร และเพชรบูรณ์, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 10 จังหวัด 32 อำเภอ คือ นครราชสีมา ร้อยเอ็ด มหาสารคาม ชัยภูมิ ขอนแก่น  อุดรธานี หนองบัวลำภู เลย สกลนคร และบุรีรัมย์ , ภาคตะวันออก 1 จังหวัด 1 อำเภอ คือ ชลบุรีและภาคใต้  4 จังหวัด 4 อำเภอ คือ พังงา ภูเก็ต นครศรีธรรมราช และสุราษฎร์ธานี ส่วนนอกเขตพื้นที่การประปาส่วนภูมิภาค ได้รับผลกระทบ 38 จังหวัด ได้แก่ ภาคเหนือ 16 จังหวัด   ภาคกลาง 10 จังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 7 จังหวัด ภาคตะวันออก 3 จังหวัด และภาคตะวันตก 2 จังหวัด  
    

2.พื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตร แบ่งเป็น พื้นที่ในเขตชลประทาน ที่มีปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อการทำเกษตร 5 แห่ง ใน 8 จังหวัด ได้แก่ อ่างเก็บน้ำกระเสียว (สุพรรณบุรี) ทับเสลา (อุทัยธานี) อุบลรัตน์ (ขอนแก่น ร้อยเอ็ด มหาสารคาม กาฬสินธุ์) ลำนางรอง (บุรีรัมย์) และจุฬาภรณ์ (ขอนแก่น ชัยภูมิ)
    

กรณีที่มีปริมาณน้ำเพียงพอเพื่อการเกษตรต่อเนื่อง (พืชไร่ พืชผัก ไม้ผล ไม้ยืนต้น) 9 แห่ง ใน 28 จังหวัด ได้แก่  4 เขื่อนหลัก (ภูมิพล สิริกิติ์ แควน้อยบำรุงแดน และป่าสักชลสิทธิ์ ครอบคลุม 22 จังหวัดลุ่มน้ำเจ้าพระยา) แม่กวงอุดมธารา (เชียงใหม่ ลำพูน) แม่มอก (ลำปาง สุโขทัย) มูลบน (นครราชสีมา) ลำพระเพลิง (นครราชสีมา) และคลองสียัด (ฉะเชิงฌทรา ชลบุรี)
    

กรณีมีปริมาณน้ำเพียงพอเพื่อการทำนาข้าวรอบที่ 2 บางพื้นที่ 11 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำแม่งัดสมบูรณ์ชล (เชียงใหม่) กิ่วลม (ลำปาง) กิ่วคอหมา (ลำปาง) น้ำอูน (สกลนคร) น้ำพุง (สกลนคร นครพนม) ลำตะคอง (นครราชสีมา) ลำแซะ (นครราชสีมา) บางพระ (ชลบุรี) ประแสร์ (ระยอง) รัชชประภา(สุราษฎร์ธานี) และบางลาง (ปัตตานี ยะลา) 
    

ส่วนพื้นที่นอกเขตชลประทานได้รับผลกระทบ 20 จังหวัด 54 อำเภอ ได้แก่ ภาคเหนือ จำนวน 9 จังหวัด 35 อำเภอ คือ เชียงราย อุตรดิตถ์ นครสวรรค์ กำแพงเพชร สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร เพชรบูรณ์ และอุทัยธานี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน  8 จังหวัด 13 อำเภอ คือ ยโสธร หนองบัวลำภู ขอนแก่น  มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ชัยภูมิ นครราชสีมา และเลย, ภาคกลาง จำนวน 2 จังหวัด 4 อำเภอ คือ ลพบุรี และสุพรรณบุรี,ภาคตะวันตก จำนวน 1 จังหวัด 2 อำเภอ คือ กาญจนบุรี
    

 

เตือน 22 จังหวัดเสี่ยงแล้ง ครม.สั่งเตรียมรับมือ

ทั้งนี้ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการมาตรการรองรับพื้นที่เสี่ยงภัยแล้งปี 2562/63 อาทิ จัดทำแผนสำรองน้ำและแหล่งน้ำสำรอง ขุดเจาะบ่อบาดาลในพื้นที่เสี่ยง ขุดลอกลำน้ำที่ตื้นเขิน และดึงน้ำจากแหล่งน้ำใกล้เคียง, ปฏิบัติการเติมน้ำในแหล่งน้ำและพื้นที่การเกษตร, ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำ กำหนดปริมาณน้ำจัดสรรในฤดูแล้งให้ชัดเจน พร้อมจัดทำทะเบียนจัดทำทะเบียนแหล่งน้ำและผู้ใช้น้ำ
    

ด้านความต้องการใช้น้ำ อาทิ ควบคุมการใช้น้ำของพื้นที่ตอนบนให้เป็นไปตามแผน และควบคุมการผันน้ำจากลุ่มน้ำแม่กลองสู่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างให้เป็นไปตาม รวมถึงการรักษาระบบนิเวศ ควบคุมการการปล่อยน้ำเสียจากภาคอุตสาหกรรม ควบคุมและขึ้นทะเบียนการเลี้ยงปลากระชังในแหล่งน้ำ และเฝ้าระวังคุณภาพน้ำดิบสำรองอย่างใกล้ชิด 
    

สำหรับการเกษตรให้วางแผนการเพาะปลูกพืชฤดูแล้งและจัดทำทะเบียนผู้ปลูกโดยระบุพื้นที่เพาะปลูกและแหล่งน้ำที่ใช้ให้ชัดเจน ตลอดจนติดตามและประเมินผลควบคุมการจัดสรรน้ำและประเมินสถานการณ์การใช้น้ำอย่างใกล้ชิด และประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้ให้ทุกหน่วยงานและประชาชนทราบ
    

สำหรับพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย น้ำล้นตลิ่ง และน้ำป่าไหลหลากภาคใต้ ปี 2562 ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม 2562 มี 7 จังหวัด 37 อำเภอ ได้แก่ ระนอง  3 อำเภอ ชุมพร 6 อำเภอ สุราษฎร์ธานี 7 อำเภอ นครศรีธรรมราช 12 อำเภอ พัทลุง 1อำเภอ  สงขลา 4 อำเภอ และนราธิวาส 4 อำเภอ โดยสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตรวจสภาพอาคารบังคับน้ำ ระบบระบายน้ำ ให้มีความพร้อมใช้งาน, สำรวจสิ่งกีดขวางทางน้ำและเร่งแก้ไขเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบายน้ำ, จัดทำแผนบริหารจัดการน้ำหลากและแผนเผชิญอุทกภัย พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์และมีการแจ้งเตือนล่วงหน้า, สำรวจแหล่งน้ำที่มีปริมาณวิกฤตและพื้นที่เสียงอุทกภัย, เตรียมความพร้อมด้านเครื่องจักร เครื่องมือ เพื่อสนับสนุนในพื้นที่เสี่ยง และใช้เกณฑ์บริหารจัดการอ่างเก็บน้ำ (Rule Curve) ที่ได้ปรับปรุงใหม่