กรอ.พาณิชย์ฟันธงส่งออกปี62 ขยายตัว0ถึงติดลบ1% ด้านจุรินทร์ นำทัพเอกชน ลุย 10 ตลาดส่งออกทั่วโลก ขณะที่เอกชนวอนภาครัฐ-แบงค์ชาติดูแลค่าบาท
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านการพาณิชย์ (กรอ.พาณิชย์) ครั้งที่ 2/2562 รวมด้วยภาคเอกชน สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย และสมาคมผู้ส่งออกสินค้า โดยเฉพาะการเร่งผลักดันการส่งออกเพื่อเพิ่มตัวเลขการส่งออก ภายใต้สถานการณ์ที่ได้รับผลกระทบสงครามการค้า Brexit และ เรื่องค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับยุทธศาสตร์เดิมที่กำหนดไว้คือการมุ่งเน้นรักษาตลาดเดิม และขยายเพิ่มเติมตลาดใหม่รวมทั้งฟื้นตลาดเก่าที่เคยมีอยู่แต่สูญเสียไปได้เน้นย้ำเพิ่มเติมลึกลงไปในรายละเอียดของยุทธศาสตร์ในทางปฏิบัติที่จะมุ่งเน้น 5 ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย 1.การเดินหน้าการสร้างไทยแบรนด์เพื่อให้มีความเข้มแข็งในตลาดโลกต่อไป 2.มุ่งเน้นการส่งเสริมภาคบริการใหม่นอกจากที่เคยทำมา เช่น ค้าปลีก โลจิสติกส์และเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ กีฬา การก่อสร้างตกแต่ง โรงแรมอีคอมเมิร์ซเพิ่มเติม เป็นต้น 3.เน้นกระชับการสร้างพันธมิตรเครือข่ายกับสภาธุรกิจเอกชนระหว่างประเทศในภูมิภาคต่างๆถือว่าเป็นเรื่องที่จำเป็นและส่งผลให้ตัวเลขการส่งออกเป็นรูปธรรมได้ชัดเจนโดยเร็วขึ้น 4. เน้นสนับสนุนให้เอสเอ็มอีสามารถที่จะส่งออกได้มากขึ้นผ่านช่องทางต่างๆ 5. เน้น ให้ทูตพาณิชย์หาลู่ทางเจาะเป็นตลาดในประเทศใหญ่ๆ รายมณฑลเพิ่มตัวเลขการส่งออกแผนการเจาะตลาดประเทศ
ทั้งนี้จากการประชุมที่ประชุมได้ข้อสรุปร่วมกันว่า จากนี้ไปจะบุกตลาดไปด้วยกันทั้งภาครัฐและเอกชนใน 10 ตลาดใหญ่ที่เห็นว่ามีศักยภาพ ประกอบด้วยตลาด จีน อินเดีย ตุรกี เยอรมัน ศรีลังกา บังคลาเทศ ตะวันออกกลาง แอฟริกาใต้ อังกฤษ ยุโรป เป็นต้น
“สิ่งที่ที่ประชุมนี้มีความเห็นให้ฝ่ายเลขาฯไปทำการบ้านเพิ่มเติมเพื่อการประชุมเที่ยวหน้าคือหนึ่งการทำให้ภูมิภาคอาเซียนการค้าชายแดนของไทยสามารถใช้โลโก้ข้าวอินทรีย์ได้มากขึ้น และจัดทำแผนสนับสนุนเอสเอ็มอีกับสตาร์ทอัพให้เพิ่มตัวเลขการส่งออกในตลาดสำคัญสำคัญต่างๆทั่วโลกได้มากขึ้นกับสามให้ทูตพาณิชย์ไปศึกษากฎเกณฑ์กติกาต่างๆของประเทศสำคัญสำคัญที่ช่วยให้การส่งออกของไทย สามารถได้รับสิทธิพิเศษหรืออัตราภาษีต่ำตามกฎเกณฑ์ที่มีอยู่แล้วเพื่อให้ส่งออกไปในราคาที่แข่งขันกับคู่แข่งได้
ด้านนางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและยุทธศาตร์การค้า(สนค.) กล่าวว่า ตัวเลขการส่งออกในไตรมาส3ถือว่าเป็นจุดต่ำที่สุดแล้วของปีนี้ และในไตรมาสสุดท้ายน่าจะกลับมาเป็นบวกแต่คงจะเป็นบวกไม่มาก เพราะยังมีปัจนัยเสี่ยงหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้า ค่าเงินบาทที่ยังคงแข็งตัวอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการออกจากการเป็นสมาชิกของสหราชอาณาจักรหรือเบร็กซิทด้วย แต่ทั้งนี้มองว่าในช่วง2เดือนที่เหลือหากภาครัฐและเอกชนร่วมกันผลักดันการส่งออกให้มีมูลค่า 2.2หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ น่าจะช่วยให้ภาพรวมการส่งออกไทยในปีนี้ขยายตัวที่0ถึงลบ1% แต่จะไม่ติดลบมากไปกว่านี้เหมือนที่เอกชนประเมินไว้ก่อนหน้านี้
ขณะที่นายสนั่น อังอุบลกุล รองประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าว่วา เอกชนประเมินการส่งออกปีนี้คาดว่าน่าจะติดลบที่ 1.5% ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ตรงกับความเป็นจริงที่สุด โดยมีปัจจัยมาจากค่าเงินบาทที่แข็งตัวอย่างต่อเนื่อง และกระทบต่อภาคเอกชนเพราะว่าการที่บาทแข็งส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจทั้งประเทศซึ่งทำให้เศรษฐกิจในประเทศได้รับความเสียหายในขณะที่ภาคเอกชนก็จะไม่สามารถแข่งขันได้ ดังนั้นภาคเอกชนต้องการให้ภาครัฐและธนาคารแห่งประเทศไทยเข้ามาดูแลค่าเงินที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่องนี้อย่างจริงจัง