"สนธิรัตน์" แจง ปมเลิกอุดหนุนแก๊สโซฮอล์-ไบโอดีเซล

19 ต.ค. 2562 | 12:59 น.

รมว.พลังงาน แจงปมเลิกอุดหนุนแก๊สโซฮอล์-ไบโอดีเซล มั่นใจยกบี10 แทนบี7 แก้ปัญหาปาล์มน้ำมันทั้งระบบอย่างยั่งยืน เหตุน้ำมันไทยต่างเพื่อนบ้านเพราะโครงสร้าง พร้อมผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางไฟฟ้าอาเซี่ยน พ้องบน้อยแต่จะใช้อย่างมีประสิทธิภาพ

     นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ชี้แจงในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฏร กรณีที่สมาชิกมีความเป็นห่วงต่อพ.ร.บ.กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะมีการยกเลิกสนับสนุนเรื่องแก๊สโซฮอล์หรือไบโอดีเซลในอีก6 ปีข้างหน้าว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นแล้ว ตั้งแต่ตนเข้ารับตำแหน่งก็ตระหนักถึงปัญหานี้ และกระทรวงพลังงานจะต้องดำเนินการในการขับเคลื่อนให้สามารถดำเนินการได้อย่างไร  สาเหตุที่พร.บ.ตัดกองทุนน้ำมันออกไปเพราะประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนเรื่องไบโอดีเซล แก๊สโซฮอล์ในอดีต ซึ่งกระทรวงพลังงานได้ขับเคลื่อนเอาน้ำมันบี10 เป็นน้ำมันพื้นฐานของไบโอดีเซล โดยจะเริ่มวันที่ 1 ม.ค.2563  ซึ่งการใช้บี10 เป็นพื้นฐานขับเคลื่อนไบโอดีเซลและแก๊สโซฮอล์ของจุดเริ่มในการแก้ปัญหาที่จะพิสูจน์ว่าเป็นการแก้ปัญหาปาล์มน้ำมันทั้งระบบอย่างแท้จริง

     ประเทศไทยประสบปัญหาปาล์มน้ำมันมา20-30 ปี เราไม่สามารถหาทางออกได้เพราะเรามีตัวซัพพลายมากกว่าความต้องการในตลาดในประเทศ 4-5 แสนตัน ต่อปี ไม่มีความสามารถในการแข่งขันที่จะส่งออกปาล์มน้ำมันไปสู่ไปประเทศอื่นเพราะเราเป็นเจ้าผลิตปาล์มน้ำมันของโลก เพียงแค่ประมาณ 5% เทียบแล้วเรามีขนาดเล็กมาก และมีต้นทุนของเกษตรกรสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ทางออกเดียวที่จะรักษาเสถียรภาพปาล์มน้ำมัน ซึ่งถือเป็น1ใน5 พืชเศรษฐกิจสำคัญคือการนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิง

"สนธิรัตน์" แจง ปมเลิกอุดหนุนแก๊สโซฮอล์-ไบโอดีเซล

 

     “กระทรวงพลังงานได้ขับเคลื่อนเรื่องนี้โดยการให้บี10 เป็นน้ำมันพื้นฐานจากบี7 คาดว่าไม่เกินไตรมาสที่2  เราสามารถที่จะเพิ่ม ปริมาณการใช้ CPO  ขึ้นมาประมาณ4 แสนตัน โดยจะใช้มาทำบี10 บี20 ประมาณปีละ2.2 ล้านตันต่อปี ถือเป็น2ใน3 ของผลผลิตปาล์มน้ำมันของประเทศ และเป็นครั้งแรกของประเทศที่ซัพพลายของปาล์มน้ำมันจะสมดุลย์กับดีมาน และเป็นจุดเริ่มต้นของการรักษาสเถียรภาพของราคาปาล์มน้ำมัน”

     นอกจากนี้กระทรวงพลังงานจะให้ความใส่ใจในการดูแลสต๊อกB100  เพราะจะเป็นพื้นฐานในการนำมาผลิต บี7 บี10 บี20 โดยการที่จะใส่มาร์กเกอร์ลงไปในB100 ว่าCPO ทุกลิตรจะถูกควบคุมไม่ให้มีการลักลอบ ซึ่งการทำงานในลักษณะนี้จะมีโอกาสในการแก้ปัญหาผลผลิตปาล์มน้ำมันที่เป็นปัญหาเรื้อรังอย่างชัดเจน ดังนั้นความสำเร็จเหล่านี้มีความสำคัญมากในการเป็นเครื่องพิสูจน์ที่จะให้กระทรวงพลังงานหาทางแก้กฎหมายกองทุนให้ได้รับการสนับสนุนอย่างเดิม 

     นายสนธิรัตน์กล่าวว่าเรื่องของไบโอฟูเอล หรือเชื้อเพลิงชีวภาพ ไม่ได้เป็นเพียงช่วยเกษตรกร แต่ตอนนี้ไทยพบปัญหาที่ใหญ่มากคือPM2.5  ซึ่งจะเป็นเรื่องของไบโอดีเซล หรือเอทานอล ก็ดีที่มาใช้กับแก๊สโซฮอล์ เป็นนโยบายที่กระทรวงพลังงานจะขับเคลื่อนเพื่อให้ผลประโยชน์ตกกับเกษตรกรต่อไป 

     ส่วนเรื่องโครงสร้างราคาน้ำมันที่มีคำถามว่าทำไมราคาน้ำมันในไทยถึงแพงกว่าราคาน้ำมันในมาเลเซีย เพราะไทยเป็นประเทศที่นำเข้าน้ำมันเกือบจะ 90%  หมายความว่าทุกบาททุกสตางค์ต้องสูญเสียเงินออกนอกประเทศ มีการคำนวณราคาน้ำมันแบ่งเป็น4 ส่วน ส่วนแรกคือเนื้อน้ำมันที่เราอิงราคามาตรฐานของโลก ซึ่งในเนื้อน้ำมันก็มีคุณภาพของน้ำมันยกตัวอย่างไทยใช้ยูโร4  มีเพียงสิงคโปร์เท่านั้นที่ใช้ยูโร5  แต่พม่า อินโดนีเซีย ลาว เขมร หรือแม้แต่มาเลเซีย  ตัวน้ำมันดีเซลก็ยังเป็นยูโร3  ส่วนที่2 เนื่องจากเราเป้นประเทศน้ำเขา ได้อาศัยโครงสร้างของน้ำมันซึ่งประกอบด้วย3 ส่วนคือ ภาษีสรรพาสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีท้องถิ่น ในภาษีเหล่านี้ก็คือรายได้ของรัฐบาลที่ใช้ในงบประมาณแผ่นดิน เพราะเราต่างจากมาเลเซียที่ผลิตและส่งออกน้ำมัน ดังนั้นจึงไม่มีโครงสร้างเหล่านี้  

     ส่วนที่3 เรามีกลไกในการรักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมันโดยมี2 กองทุนใหญ่ๆคือ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะใช้รักษาสมดุลช่วงเกิดวิกฤตราคาน้ำมัน และกองทุนอนุรักษ์พลังงานซึ่งจะใช้ในการส่งเสริมเรื่องพลังงานทดแทน และการอนุรักษ์พลังงาน และส่วนที่4 ค่าการตลาด ซึ่งในยุคของตนจะเข้าไปดูแลเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามที่โครงสร้างแตกต่างจากเพื่อนบ้าน ไทยก็ไม่ได้ราคาสูงอย่างที่เข้าใจ มีสิงคโปร์ ลาว ฟิลิปปินส์ กัมพูชา หรือแม้แต่อินโดนีเซีย ที่เป็นประเทศที่ผลิตน้ำมันก็ยังมีราคาดีเซลสูงกว่าเรา ส่วนที่ต่ำกว่าเราจริงๆนั้นก็มี พม่า เวียดนาม มาเลเซีย และบรูไน  

     “อินโด มาเล บรูไน เป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมัน ส่วนเวียดนามโครงสร้างราคาน้ำมันคล้ายของไทย ในอดีตที่ราคาน้ำมันของไทยเทียบเท่ามาเล เพราะรัฐชดเชย ผมตระหนักดีว่าราคาน้ำมันมีผลกับประชาชน เราจะดูแลโครงสร้างเหล่านี้”

     ส่วนเรื่องความสามารถในการแข่งขันค่าไฟฟ้า ไทยจะแข่งขันได้จะต้องมีต้นทุนราคาพลังงานที่แข่งขันได้ ซึ่งเราเรียกว่า Compititive Energy ซึ่งเรามุ่งมั่นจะทำเรื่องค่าไฟให้ได้มาตรฐาน มีราคาที่แข่งขันได้ ประเทศไทยมีจุดอ่อนคือไม่มีแหล่งพลังงาน เช่นนิวเคลียร์ หรือถ่านหิน โรงไฟฟ้าถ่านหินเกิดได้ยากมากในไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่เราไม่สามารถแข่งขันกับประเทศเหล่านั้นได้  แต่ก็มีแผนPDP 2018 ที่จะสร้างโครงสร้างสมดุลใน20 ปีข้างหน้า โดยมีเป้าหมายให้มีต้นทุนราคาไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพและแข่งขันได้ในอนาคต มีเป้าหมายทำไทยให้เป็นศูนย์กลางการค้าไฟฟ้าภูมิภาคอาเซี่ยน โดยใช้จุดแข็งคือการเป็นCenter of Asean  และพยายามพัฒนาเรื่องพลังงานทดแทนเช่นพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีต้นทุนถุกลงในอนาคต

     “กระทรวงพลังงานมีงบน้อยมาก 2,100 กว่าล้าน เทียบกับงบประมาณ 3.2 ล้านล้าน คิดเป็น 0.06% แต่เราจะใช้งบเหล่านี้อย่างมีคุณภาพแลพะสร้างประโยชน์ให้กับประเทศไทยให้ได้มากที่สุด”นายสนธิรัตน์กล่าว