เทรนด์ลงทุนรับบาทแข็งแนะ‘หุ้นนอก-รีท-ทองคำ’

21 ต.ค. 2562 | 04:25 น.

 

กูรูชี้หุ้นในตลาดโลกยังเป็นบวก ท่ามกลางเศรษฐกิจ ชะลอ “กสิกรไทย”แนะจัดพอร์ตลงทุนรับความเสี่ยงคงที่แบบกระจายตัว ค่ายกรุงไทยแนะ ลงทุน “หุ้นกู้เอกชน-กองทุนโครงสร้างพื้นฐานและกองรีท” ด้าน ME เผยช่องทางฝากเงินออนไลน์รั้งใจวัย Gen มากขึ้น

เศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 2 ตามความผันผวนเศรษฐกิจโลกที่เข้าสู่ขาลง จากแรงกดดันจากปัญหาสงครามการค้า การขอแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษหรือ Brexit ที่ยังหาทางออกไม่ได้ว่าจะเป็นการออกแบบมีเงื่อนไข หรือแบบไม่มีเงื่อนไข ขณะที่ ธนาคารกลางทั่วโลกหันกลับมาดำเนินนโยบายการเงินกลับทิศคือ จากดอกเบี้ยที่กำลังเป็นขาขึ้นกลับต้องหันมาปรับลดกันถ้วนหน้า ซึ่งก็รวมถึงดอกเบี้ยนโยบายของไทยด้วยเช่นกัน ที่คาดหวังกันว่าในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีการปรับดอกเบี้ยลงอีกครึ่ง ในการประชุม 2 ครั้งที่เหลือของปีนี้

ทั้งนี้ เพราะการลดดอกเบี้ยนโยบายลงไม่เพียงเพื่อดูแลเศรษฐกิจที่กำลังชะลอลงเท่านั้น แต่ยังหวังที่จะใช้ดุูแลอัตราแลกเปลี่ยนด้วย เพราะเวลานี้เงินบาทของไทยเรา เป็นสกุลเงินที่แข็งแกร่งมาก โดยล่าสุดเงินบาทแข็งค่าขึ้นประมาณ 7% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งมากที่สุดในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ และทิ้งห่างจากอันดับ 2 ในเอเชียคือ ค่าเงินรูเปียของอินโดนีเซียที่แข็งค่ากว่า 1% เล็กน้อยเท่านั้น

เทรนด์ลงทุนรับบาทแข็งแนะ‘หุ้นนอก-รีท-ทองคำ’

 

นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส และ Private Banking Group Head ธนาคาร กสิกรไทย ซึ่งเป็นผู้เชี่ยว ชาญด้านไพรเวตแบงก์เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจที่สะท้อนความไม่แน่นอน แต่ผลประกอบการลงทุนไม่สะท้อนภาวะถดถอย เพราะหุ้นในสหรัฐฯและยุโรปสามารถล้างขาดทุนสะสมของปี 2561 คงเหลือหุ้นในเอเชีย และไทยที่ยังไม่สามารถล้างขาดทุนสะสมของปีก่อนได้

เทรนด์ลงทุนรับบาทแข็งแนะ‘หุ้นนอก-รีท-ทองคำ’

จิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์

ดังนั้นในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ จึงต้องพิจารณาการลงทุนแบบมีการบริหารจัดการความเสี่ยง หรือ stay in wait เพื่อลงทุนต่อ ซึ่งจะทำให้ผลเสียหายเกิดในวงจำกัด ขณะเดียวกันก็ไม่เสียโอกาสการลงทุน ซึ่งธนาคารแนะนำลูกค้าให้จัดพอร์ต โดยควบคุมความผันผวนแบบคงที่หากเกิดเหตุการณ์เลวร้าย นักลงทุนพร้อมจะรับความเสียหายที่ระดับเท่าไร และความเสี่ยงคงที่ต้องมาจากการ
กระจายตัวทุกส่วนในพอร์ต เพราะไม่ต้องการให้ลูกค้าเสียหาย จากช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา ทำผลตอบ แทน 6-7%

“ควรกระจายลงทุนใน 5 ส่วนคือหุ้นประเทศพัฒนาผสมไฮยีลด์ประเทศกำลังพัฒนา พันธบัตรรัฐบาลทั่วโลก สินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ ที่เหลือลงทุนเพิ่มในหุ้นกู้เอเชีย-แปซิฟิก หรือหุ้นกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐฯถืออย่างน้อย 3 ปี ผลตอบแทนเฉลี่ย 3% ต้นๆที่สำคัญต้องคำนวณว่า เมื่อแปลงเป็นเงินบาทแล้ว ยังมีกำไร เพราะไม่เช่นนั้นอาจขาดทุนค่าเงินได้”

 

นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินและตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยกล่าวว่า ช่วงนี้ตลาดเน้นลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย แม้ผลตอบแทนไม่มากแต่ความเสี่ยงน้อย จึงเห็น การเข้าซื้อเงินเยนและบาท เพราะเป็นสกุลเงินแข็งค่าและผันผวนน้อย ปีนี้และปีหน้าค่าเงินรูเปียและเปโซ น่าจะได้รับความสนใจ ซึ่งในแง่เงินบาทมีโอกาสแข็งค่าต่อได้ โดยบาทแข็งค่ามาแล้ว 8-9 เดือน ซึ่งโดยทั่วไปกว่าตลาดจะรู้สึกตัวจะใช้เวลาราว 14 เดือน จึงถือว่าแข็งค่าเกินครึ่งทางแล้วและเมื่อนโยบายการเงินประเทศคู่ค้าผ่อนคลาย โดยเฉพาะสหรัฐฯเชื่อว่าเงินบาทจะแข็งค่าได้ต่อ

“เรามองว่า ถ้าสงครามการค้าไม่จบกลายเป็นสงครามภาษีเต็มรูปแบบคาดว่า เงินบาทจะอยู่ที่ 30.25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ หากแตะ 30.00 บาทเชื่อว่า ธปท.ต้องออกมาตรการแน่น....และอาจเห็นบาทอ่อนค่าในปีหน้า และหากสหรัฐฯใช้นโยบายการเงินมากขึ้นและเจรจาการค้าได้ เงินบาทอาจแตะ 27.50 บาท แต่โอกาสเกิดเพียง 30% โดยเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 27-31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แต่หากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง มีโอกาสที่สงครามการค้ากลายเป็นสงครามค่าเงิน มีโอกาสเห็นบาทเด้งมาที่ 31 บาท ซึ่งจะมีเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นไตรมาส 4 จนถึงครึ่งแรกปีหน้า แต่หากสงครามการค้าไม่จบ การลงทุนทางเลือกยังน่าสนใจ”

ทั้งนี้หากสงครามการค้ายังเปิดกระดานไปเรื่อยๆ ผลดีต่อตลาดหุ้นอาจบวกได้ 3-4% แต่ถ้ากลายเป็นสงครามการค้าเต็มรูปแบบ หุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวลงปีหน้า 10% ส่วนพันธบัตรรัฐบาล แนวโน้มอัตราผลตอบแทน (บอนด์ยีลด์) มีโอกาสปรับลดลงได้ 0.25-0.3% จากผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปี ปัจจุบันอยู่ที่ 1.7% หรือมีโอกาสเหลือ 1.5% ต่อปี ดังนั้นปีหน้า ต้องจับตานโยบายการเงินของเฟดและตลาดจะหาสินทรัพย์ลงทุน 3 ประเภท เช่น หุ้นกู้เอกชน หรือกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน และกองรีท

นายเบญจรงค์ สุวรรณคีรี หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร ME by TMB กล่าวว่า ปัจจุบันคนมีความตื่นตัวการออมผ่านช่องทางดิจิทัลมากขึ้น ส่วนหนึ่งมีผลิตภัณฑ์ที่คล้ายกันมากขึ้นในตลาดและคนมีความเข้าใจมากขึ้น ซึ่งในส่วนของ ME ลูกค้าตอบรับดี ในแง่ผลตอบแทนอยู่ที่ 1.7% ลูกค้าที่มีเงินฝากมากกว่าการถอน แต่สำหรับลูกค้าที่ไม่สามารถฝากมากกว่าถอนก็จ่ายดอกเบี้ยในอัตรา 1.4% ซึ่งยังค่อนข้างสูงในตลาดเมื่อเทียบกับตลาดที่ยังมีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งระยะหลังการแข่งขันบัญชีเงินฝากออนไลน์เพิ่มมากขึ้น แต่ ME ยังจ่ายดอกเบี้ยสูงกว่าเมื่อเทียบกับเงินฝากที่มีลักษณะคล้ายกัน ซึ่งการส่งเสริมการออมเป็นเรื่องดี

 

หน้า19-20 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,515 วันที่ 20-23 ตุลาคม 2562

เทรนด์ลงทุนรับบาทแข็งแนะ‘หุ้นนอก-รีท-ทองคำ’