“ภูเขามีความสูง นํ้ามีความลึก”...ความเชื่อ (คนจีนโบราณ) นี้ไม่ต้องนำมาเปรียบเทียบกัน เหมือนคนแต่ละคนต่างก็มีข้อดีของตัวเอง รวมทั้งมีบุคลิกของตัวเอง สิ่งใดที่เห็นว่าสนุกก็ไปตามหา หรือสิ่งใดที่เห็นว่าคุ้มค่าก็ไปเฝ้ารอและติดตาม การเมืองไทยวันนี้มองผิวเผินเหมือนสงบเงียบ แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ภาพลวงตาเท่านั้น!?
สถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันยังคง “คุกรุ่น” ด้วยการสุมไฟของฝ่ายแค้นที่พร้อมทำอะไร?ก็ได้เพื่อเอาชนะอีก “ขั้ว-ฝ่าย” และยิ่งใกล้วันเลือกผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งเป็นฐานเสียงใหญ่และเป็นที่มั่นที่มีเสบียงกรังสมบูรณ์ แต่การสุมไฟของฝ่ายแค้นครั้งนี้กลับส่งผลตรงกันข้าม เพราะกลายเป็น “ปม” ปัญหาใหม่ที่เกิดขึ้นในพรรคตัวเองแทน...
หลังจาก “นายใหญ่” ปิดท่อนํ้าเลี้ยงไม่จ่ายค่านํ้ารายเดือนให้ลูกพรรค ส่งผลให้ภายในพรรคแบ่งแยกเป็นก๊กเป็นเหล่ามีสภาพเป็นไก่ชนที่จิกตีกันในเล้าแบบไม่มีใคร?กลัวใคร? ซํ้าร้ายกว่านี้ ก็คือยังเกิดปมขัดแย้งในเรื่องการส่งตัวผู้สมัคร “ชิง” ผู้ว่าฯ กทม.เพิ่มขึ้นมาอีก เมื่อนายใหญ่ “หัก” ข้อเสนอของก๊ก (กทม.) แบบสิ้นเยื่อใย
ว่าไปแล้วก็เหมือน “กรรมติดจรวด” เพราะก่อนหน้านั้น หัวหน้าก๊กนี้ ก็มักจะใช้อำนาจข่มเหง และชอบเหน็บแนมก๊กอื่น? แบบ “เอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่น” รวมทั้งยังมีการจับผิดและแบล็กเมล์ก๊กอื่นๆ อยู่แล้ว แต่ที่ก๊กอื่น?รับไม่ได้ ก็คือความขี้เหนียวของหัวหน้าก๊ก ที่รู้ก็ทั้งรู้ว่าลูกพรรคเป็นโรคขาดสารอาหาร แต่ก็ไม่ยอม “ควัก” จ่ายรายเดือนให้ก๊กอื่นๆ
เช่นเดียวกันกับการตัดสินใจส่งผู้สมัคร “ชิง” ผู้ว่าฯ กทม. ที่มีรายงานข่าวว่า “ผู้ชายที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี” บินไปหารือนายใหญ่ถึงประเทศสิงคโปร์ และผลการหารือได้ข้อสรุปว่าต้องใช้แผน “สลับร่างพรางตา” ให้เขาผู้นี้ลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.แบบอิสระ แต่ให้พรรคหนุนหลังและงดส่งคู่แข่งลงสมัครตัดคะแนน
กล่าวสำหรับแผน “สลับร่างพรางตา” นี้ ว่าไปแล้วก็คงมาอีหรอบเดียวกับแผน “แตกแบงก์พัน” คราวเลือกตั้งฯ ครั้งหลังสุด ที่แตกพรรคเดิมออกเป็นหลายพรรค แต่สุดท้ายพรรคใหม่ที่หมายมั่นปั้นมือก็มีอัน “ฝันสลาย” ถูกยุบไปก่อนไก่โห่ เนื่องจากเล่นของสูง “ดึงฟ้าตํ่า” ส่งผลให้แกนนำพรรคประเภท “ขาใหญ่-ดาวสภา” ตกสวรรค์...สุดท้ายก็ต้องมาพึ่งพรรคเด็กเลี้ยงแกะ
วันพุธ (16 ต.ค.) ที่ผ่านมามีเรื่องที่ฮือฮามาก นั่นคือ ศาลฎีกาพิพากษา 3 แกนนำ นปช. ประกอบด้วย “จตุพร-ณัฐวุฒิ-เหวง” ให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายการยุยงเผาบ้านมืองเมื่อปี 2553 ทำให้ไฟไหม้อาคารพาณิชณ์ย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ โดยทั้งหมดต้องชดใช้เงินต้นกว่า 21 ล้านบาท...
พร้อมดอกเบี้ยอัตรา 7.5% ต่อปี โดยเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2553 เป็นต้นมาจนกว่าจะชำระเงินค่าเสียหายเสร็จแก่โจทก์ หากคิดเป็นเงินต้นและดอกเบี้ยรวมประมาณ 30 ล้านบาท ค่าที่ “เต้น-ณัฐวุฒิ” ประกาศให้ได้ยินกันทั่วว่า “เผาเลยพี่น้องผมรับผิดชอบเอง” ทำให้ต้องรับผิดชอบต่อคำพูดต้องจ่ายตามคำพิพากษาดังกล่าว
ไม่อย่างนั้น ดอกเบี้ยก็จะงอกเพิ่มไปเรื่อยๆ จนทบต้นทบดอกและถูกฟ้องล้มละลายในที่สุด เช่นเดียวกับ “เพื่อนซี้” ที่เขาให้ 2 เกลอยืมชื่อเปิดบัญชีบริจาค นปช.และได้เงินเข้าบัญชีกว่า 1,500 ล้านบาท ทำให้มีประสบการณ์ตรงถูกสรรพากรเรียกเก็บภาษีเงินบริจาค 35% ประมาณ 572 ล้านบาท มีเรื่องเล่า (วงใน) ว่าเขาถูก 2 เกลอหักหลังจนกลายเป็น “บุคคล” ล้มละลายในที่สุด
วันพฤหัสบดี-ศุกร์ (ที่ 17-18 ต.ค.) มีประชุมสภาผู้แทนฯ พิจารณาร่างกฎหมายงบประมาณแผ่นดินปี 2563 ที่บรรดาพลพรรคฝ่ายค้านพากันฝันละเมอ ว่าจะโค่นรัฐบาล “ประยุทธ์ 2” ที่มีเสียงปริ่มนํ้า ขอบอกว่าจะ “ฝันเปียก” เพราะผู้แทนฯ ฝ่ายค้านส่วนใหญ่ “ขาลอย” ตกงานมานาน 5 ปี เพิ่งได้งานและถูกบรรจุ ไม่มีผู้แทนฯ ที่ไหน?เห่อหรืออยากลงเลือกตั้งใหม่แน่นอน
ตัวเลขผู้แทนฯ ล่าสุด ฝ่ายค้านเสียไป 3 เก้าอี้จากนครปฐม (ลาออก) และหยุดปฏิบัติหน้าที่ 2 คน คือ หัวหน้าพรรคสีส้ม กับนักฆ่าเมืองหมอแคน (ขอนแก่น) แถมยังมี “ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ยุค 4.0” อีกไม่น้อยกว่า 15 คนที่รายงานข่าวแจ้งว่า เทใจให้ฝ่ายรัฐบาลแล้ว....โหวตวาระ1 ไม่ว่าจะ “งดออกเสียง” หรือออกเสียงก็คงแพ้รัฐบาลอยู่ดี
นอกจากนั้น ฝ่ายกลยุทธ์ของรัฐบาลยังมีแผนสำรองเพื่อผ่านร่างกฎหมายงบประมาณแผ่นดิน ปี 2563 ไว้อีก “ขั้นตอน” เพราะรัฐธรรมนูญ มาตรา 141 กำหนดว่าถ้ากฎหมายงบประมาณรายจ่ายประจําปี ออกไม่ทันปีงบประมาณใหม่ ให้ใช้กฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายในปีงบประมาณปีเก่า 2562 ไปพลางก่อน
และก็ยังมีมาตรา 143 ร่างกฎหมายงบประมาณประจําปี สภาผู้แทนฯจะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 105 วันนับแต่วันที่ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวมาถึงสภาผู้แทนฯ ถ้าพิจารณาร่างกฎหมายนั้นไม่แล้วเสร็จภายในกําหนดเวลา ให้ถือว่า “สภาผู้แทนฯเห็นชอบ” และให้เสนอร่างกฎหมายดังกล่าว ต่อ ส.ว.เพื่อพิจารณาภายใน 20 วัน
...จะแก้ไขเพิ่มเติมใดๆ มิได้ ถ้าพ้นกําหนดเวลาดังกล่าว ก็ให้ถือว่า ส.ว. เห็นชอบ กับร่างกฎหมายงบประมาณนั้นไปเลย วิธีที่จะให้งบประมาณผ่านง่ายๆ ก็แค่ถ่วงระยะเวลาให้เกินกำหนดทั้งสองสภาฯ ก็จบข่าว เชื่อไม่เชื่อก็ให้คอยดูตอนโหวตวาระ 1 จะได้เห็นปรากฏการณ์การเมืองที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และผลโหวตรัฐบาลก็จะผ่าน “ฉลุย” แน่นอน
คอลัมน์ อยู่กับปัจจุบัน โดย พงษ์ศักดิ์ ศรีสด
หน้า 14 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,515 วันที่ 20-23 ตุลาคม 2562