“ธีรยุทธ”แนะ “บิ๊กตู่”เน้นแก้ “รวยกระจุก-จนกระจาย-กลางกระจ้อน”

15 ตุลาคม 2562

“ธีรยุทธ” ชี้ 5ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยยังติดกับดักหาทางออกไม่ได้   ระบุรัฐบาล“ประยุทธ์”มีผลงานจับต้องได้ คือ โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่และทำบ้านเมืองสงบ แต่จะทำงานลำบากต้องจัดสรรผลประโยชน์ให้ทุกกลุ่มการเมือง  แนะรัฐบาลเน้นแก้ “รวยกระจุก-จนกระจาย-กลางกระจ้อน” 

 ศ. ธีรยุทธ บุญมี

      วันที่ 15 ต.ค.2562  ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนิน วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต และมูลนิธิ 14 ตุลา จัดกิจกรรมรำลึกครบ 46 ปีเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2562  โดย ศ. ธีรยุทธ บุญมี นักวิชาการอิสระ ได้บรรยายพิเศษเรื่อง "ประชาชน พรรคการเมือง ทหารไทย  ติดกับดัก ก่อวิกฤติใหม่ประเทศไทย"  

 

     ศ.ธีรยุทธ กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองไทยว่า ตั้งแต่ปี 2557-2562 ประเทศไทยเป็น “ยุคติดกับดัก” เพราะไม่สามารถพบเป้าหมายที่เป็นทางออกได้ เป้าหมายหนึ่งซึ่งเป็นวาทกรรมที่เกิดขึ้นก็คือ “ประชาธิปไตยที่กินได้” หรือนโยบายประชานิยมที่จับใจชาวบ้านจนกลายเป็นเสียงที่เหนียวแน่นของพรรคไทยรักไทยแต่ประชานิยมที่เกิดมาทั่วโลกนั้นเป็นเพียงเครื่องมือของการเลือกตั้ง ไม่สามารถเป็นเป้าหมายของประเทศได้ และได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่า ไม่ยั่งยืน สำหรับพรรคอนาคตใหม่ซึ่งมีฐานเสียงเป็นชนชั้นกลางและคนรุ่นใหม่ที่ไม่พอใจระบบเก่า 2 พรรคนี้ยังไม่มีการเสนอยุทธศาสตร์แผนงานหลักที่จะนำพาประเทศข้ามความขัดแย้งนี้ไปข้างหน้า เน้นแค่จุดประเด็นซึ่งเป็นจุดขายของขบวนการประชานิยม และมักกลายเป็นความขัดแย้งกับฝ่ายรัฐเท่านั้น ส่วนพลังฝ่ายอนุรักษ์หรือทหารเองนั้น แม้จะมีอำนาจมา 5 ปีเศษแต่ก็ยังติดกับดักความคิดที่เน้นเฉพาะความมั่นคง ยังไม่มีเป้าหมายที่จะกินใจประชาชนจนเกิดเป็นเป้าหมายร่วมของประเทศได้ 

 

     ศ.ธีรยุทธ กล่าวอีกว่า หลังการเลือกตั้งที่ผ่านมาทุกครั้งทั้งประชาชนและนักการเมืองจะมองว่าประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่กระบวนการเมืองประชาธิปไตยปกติ คือ การแถลงนโยบาย ทัศนะของแต่ละฝ่าย การตรวจสอบ หักล้างด้วย หลักฐานโวหารเหตุผล เพื่อนำไปสู่การแก้ไขผิดเป็นถูก หรือเพื่อล้มรัฐบาลไปสู่การเลือกตั้งใหม่ก็ได้ แต่น่ากังวลว่า ปัจจุบันคนไทยส่วนหนึ่งกำลังรับกระบวนทัศน์แบบ “ความเมือง” ที่มองพวกอื่นเป็นศัตรูที่ต้องล้มล้าง นักการเมืองกลายเป็น “นักความเมือง” พรรคการเมืองกลายเป็น “พรรคความเมือง” นักวิชาการกลายเป็น “นักโฆษณาความเมือง” ทหารฝ่ายความมั่นคงเป็น “ทหารฝ่ายความเมือง” การเลือกตั้งหลังสุดก็เพิ่มประเด็น คนรุ่นเก่า รุ่นใหม่ ความคิดเก่า ความคิดใหม่ ชาติมหาอำนาจเองก็แสดงจุดยืนชัดเจน คือ ชาติตะวันตก หนุนฝ่ายเสื้อแดง จีนหนุนฝ่ายอนุรักษ์กับทหาร การทีความขัดแย้งขยายตัวมาตลอด บ่งชี้ว่า รัฐบาลกับทหารจัดการกับวิกฤติการผิดพลาด มองปัญหาใจกลางผิด 
 

 

   

  “ธีรยุทธ”แนะ “บิ๊กตู่”เน้นแก้  “รวยกระจุก-จนกระจาย-กลางกระจ้อน”  ศ.ธีรยุทธ กล่าวอีกว่า หลังการเลือกตั้งที่ผ่านมาทุกครั้งทั้งประชาชนและนักการเมืองจะมองว่าประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่กระบวนการเมืองประชาธิปไตยปกติ คือ การแถลงนโยบาย ทัศนะของแต่ละฝ่าย การตรวจสอบ หักล้างด้วย หลักฐานโวหารเหตุผล เพื่อนำไปสู่การแก้ไขผิดเป็นถูก หรือเพื่อล้มรัฐบาลไปสู่การเลือกตั้งใหม่ก็ได้ แต่น่ากังวลว่า ปัจจุบันคนไทยส่วนหนึ่งกำลังรับกระบวนทัศน์แบบ “ความเมือง” ที่มองพวกอื่นเป็นศัตรูที่ต้องล้มล้าง นักการเมืองกลายเป็น “นักความเมือง” พรรคการเมืองกลายเป็น “พรรคความเมือง” นักวิชาการกลายเป็น “นักโฆษณาความเมือง” ทหารฝ่ายความมั่นคงเป็น “ทหารฝ่ายความเมือง” การเลือกตั้งหลังสุดก็เพิ่มประเด็น คนรุ่นเก่า รุ่นใหม่ ความคิดเก่า ความคิดใหม่ ชาติมหาอำนาจเองก็แสดงจุดยืนชัดเจน คือ ชาติตะวันตก หนุนฝ่ายเสื้อแดง จีนหนุนฝ่ายอนุรักษ์กับทหาร การทีความขัดแย้งขยายตัวมาตลอด บ่งชี้ว่า รัฐบาลกับทหารจัดการกับวิกฤติการผิดพลาด มองปัญหาใจกลางผิด 

 

 

     วิธีการแก้ไข คือ สังคมควรมองสถานการณ์ให้กระจ่าง ตั้งสติอยู่ตรงกลาง หรือเสริมพลังทางบวกที่จะช่วยแก้ปัญหาต่างๆของสังคม เสริมความรู้สึกแบบมิตร เปิดกว้างหลากหลาย ไม่ไปช่วยเสริมกระแสพวกเรา หรือศัตรูที่เกิดขึ้น ส่วนฝ่ายรัฐบาลต้องธำรงความเป็นกลาง ไม่เข้าไปร่วมใช้ “ความเมือง” ทำลายฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ศาลและระบบยุติธรรมเองก็ต้องตริตรองทุกคดีความหรือทุกปัญหาอย่างมีวิจารณญาณและหลักยุติธรรมอย่างแท้จริง 

      “ธีรยุทธ”แนะ “บิ๊กตู่”เน้นแก้  “รวยกระจุก-จนกระจาย-กลางกระจ้อน”

    ในช่วงท้ายศ.ธีรยุทธ กล่าวให้ข้อเสนอแนะกับรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ว่า ในช่วงรัฐประหารนั้น รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์มีผลงานจับต้องได้จำนวนหนึ่ง  คือ โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ และการรักษาความสงบไม่ให้มีการชุมนุมประท้วง ขณะที่การปฏิรูประบบ การสร้างความสมานฉันท์นั้นยังไม่เกิด มองว่า รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ซึ่งมาจากการเลือกตั้งจะยิ่งทำงานลำบากกว่าเดิมมากเพราะโดยโครงสร้างรัฐบาลจะอยู่รอดต่อไปได้ ต้องจัดสรรผลประโยชน์มาให้ทุกกลุ่มการเมืองซึ่งในที่สุดจะต้องพึ่งพากลุ่มทุนใหญ่ ดังนั้น ภารกิจหลักของรัฐบาลในช่วงหน้าจะกลายเป็นการดำเนินนโยบายโครงการให้กับกลุ่มทุนใหญ่ เป็นรัฐบาลทหารเพื่อกลุ่มธุรกิจใหญ่นั่นเอง อย่างไรก็ดี เชื่อว่า คนจำนวนมากยังต้องการให้ประเทศได้มีรัฐบาลบริหารงานไปอีกสักระยะหนึ่ง ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์จึงควรปรับปรุงวิธีการทำงานเพราะการควบคุมประสานพรรคร่วมลำบากยากขึ้นเรื่อยๆแต่ก็ควรตั้งเป้าหมายระยะยาวโดยต้องทำให้ได้ผลจริงจังสักสองสามเรื่อง  

 

     ประการแรก คือ โฟกัสการแก้ปัญหาปากท้องของชาวบ้านที่ศ.ธีรยุทธ ให้นิยามว่า “รวยกระจุก จนกระจาย กลางกระจ้อน” อย่างจริงจังเพราะปัญหาความเหลื่อมล้ำมีสูง คนจน คนชั้นกลางลำบากจริงๆ การแก้ปัญหานี้ทำได้ยากแต่นายกรัฐมนตรีต้องทุ่มเททำ 

 

    อีกประการ คือ การเพิ่มคุณภาพของคนในทุกวัยในด้านการศึกษา พัฒนาทักษะใหม่ๆ อาชีพใหม่สำหรับเศรษฐกิจแบบ disruptive ที่เกิดขึ้นรวดเร็วในหลายๆด้าน ต้องใช้อำนาจบารมีตัวนายกฯประยุทธ์เองลงมือแก้ปัญหาเอง การแก้ปัญหาครบทั้งต้นน้ำปลายน้ำ เช่น ต้องมีการประกันรายได้การงานให้ และควรทำแบบเลือกสรรเฉพาะส่วนเพราะการปฏิรูปทั้งระบบ ใหญ่โตเกินไป ไม่สามารถทำได้จริง ถ้าทำเช่นนี้ก็จะเป็นการลำดับความสำคัญได้ถูกต้องและใกล้เคียงมากที่สุด