เปิดตัว ‘วีรวุฒิ’ นั่งนายกสมาคมคนไทยธุรกิจเกษตร สมัย 5

เมื่อวันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมาสมาคมคนไทยธุรกิจเกษตร จัดประชุมใหญ่วิสามัญ ครั้งที่ 1/2562 ดร.วีรวุฒิ กตัญญูกุล ได้รับการไว้วางใจจากสมาชิกสมาคมอย่างเป็นเอกฉันท์ให้กลับมานั่งตำแหน่งนายกสมาคมอีกครั้งเป็นสมัยที่ 5 “ฐานเศรษฐกิจ” สัมภาษณ์พิเศษถึงการขับเคลื่อนนโยบายสมาคมท่ามกลางกระแสข่าวสังคมที่ถาโถมต้องการให้แบน 3 สารเคมีเกษตร ได้แก่ คลอร์ไพริฟอส พาราควอต และไกลโฟเซต นั้นมีความคิดเห็นอย่างไร

ดร.วีรวุฒิ กตัญญูกุล นายกสมาคมคนไทยธุรกิจเกษตร  กล่าวจากกระแสข่าวที่เห็นการแบน 3 สารเคมี หนึ่งในสารที่ไม่เห็นด้วยที่จะมีการแบนก็ คือ “ไกรโฟเสต”  แม้กระทั่งประเทศศรีลังกา ที่ยกเลิกไปแล้วก็ยังกลับมาใช้กับใบชาใหม่ เพราะใบชาไม่พอขาย แล้วข้อเสียมีอยู่นิดเดียว ผลตกค้างอยู่นานราว 2 สัปดาห์ แต่ข้อดี ก็คือ กันแมลงทุกชนิด ราคาถูก เพียงแค่สอนเกษตรกรใช้ให้ถูกวิธีเท่านั้น ขนาดประเทศสหรัฐอเมริกา ก็ยังไม่ได้เลิกใช้

ส่วน “พาราควอต” ผมยอมรับว่ามีการแบน 54 ประเทศจริง แต่บางประเทศไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ อย่างเวียดนาม เกษตรกรมีพื้นที่แค่ 3 ไร่เท่านั้น แค่ใช้แรงงานครอบครัวก็พอแล้ว และไม่มีข้าวโพด และมันสำปะหลังหรือประเทศอังกฤษ ก็ไม่ใช่เป็นอาชีพหลัก และมีไม่กี่ไร่ จะเห็นว่าแต่ละประเทศมีการเกษตรที่แตกต่างจากไทยเด่นชัด

ดร.วีรวุฒิ กล่าวว่า มาตรการในขณะนี้ที่ดีอยู่แล้ว มาตรการจำกัดการใช้ (วันที่ 20 ตุลาคมนี้กฎหมายจะบังคับใช้) แต่มากกว่าคนต่างประเทศทำกัน  เช่นไปคุมเข้มร้านค้าต้องให้ขายเท่านั้นเท่านี้ เกษตรกรมีพื้นที่กี่ไร่ ต้องใช้เท่านั้นเท่านี้ ยอมรับว่าคนไทยคุมยาก มองว่าแค่มีใบผ่านการอบรมก็เพียงพอแล้ว ปัจจุบันสมาคมได้ร่วมกับสมาคมอารักขาพืชไทย และสมาคมนวัตกรรมฯ และ สมาคมเกษตรกรปลอดภัย ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีแล้วว่าข้อมูลของกลุ่มนี้ผมมองว่าเป็นการทำลายเครดิตของประเทศไทย เพราะไทยเป็นประเทศเล็กมาก แต่กลายเป็นผู้ส่งออกอาหารอันดับ 6 ของโลก ส่วนสินค้าเกษตรลำดับที่ 12 มองว่าใครก็อิจฉา

“ทำไมจึงแบนแค่ 3 สารพิษเท่านั้น ทำไมไม่แบนทั้งหมด เพราะทุกสารหากฉีดแล้วไม่ระมัดระวังก็มีโทษทั้งนั้น แล้วในขณะนี้ทราบหรือไม่มีสินค้าลักลอบเข้ามาเต็มตลาดไปหมดแล้ว ยิ่งร้ายไปกว่าเพราะไม่สามารถจะควบคุมได้ เพราะไม่มีคุณภาพ แต่อย่างนี้อย่างอยู่ภายใต้กฎหมาย สามารถตรวจสอบได้”

ดร.วีรวุฒิ กล่าวว่า การที่รัฐมนตรีจะเลิกใช้ก็ควรที่จะปรึกษากลุ่มเกษตรกรก่อนหรือไม่ ว่าถ้าเลิกใช้ สามารถทำการเกษตรต่อได้หรือไม่ ยกตัวอย่าง อ้อย 50 ไร่ เป็นเกษตรอุตสาหกรรม ก้าวข้ามพ้นเกษตรยังชีพมาแล้ว จริงๆ แล้วผู้ประกอบการไม่เดือดร้อนอะไร ไม่มี 3 สารเคมี ก็ยังมีสารตัวอื่นเป็นร้อยชนิดที่ขายได้ แต่คนที่เสียผลประโยชน์ก็คือเกษตรกร

อนึ่ง ทำเนียบนายกสมาคมคนไทยธุรกิจเกษตร