"บิ๊กแดง-ธนาธร"โต้เดือด!!ปมม็อบฮ่องกง

11 ต.ค. 2562 | 12:22 น.

กลายเป็นไฟลามทุ่งแต่หวังว่าจะไม่ลุกลามบานปลายจนยากจะแก้ไข หลังจากเหตการณ์เมื่อวันที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมา หน้าเฟซบุ๊ก “Chinese Embassy in Bangkok เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย” ซึ่งโพสต์ “กฎบังคับในเรื่องห้ามสวมหน้ากาก” และสถานการณ์ล่าสุดในฮ่องกง ใจความว่า...

 

เมื่อวันที่ 4 เดือนตุลาคม รัฐบาลเขตปกครองพิเศษฮ่องกงได้ประกาศ “กฎบังคับในเรื่องห้ามสวมหน้ากาก” โดยอาศัยอำนาจจาก “กฎระเบียบในวาระฉุกเฉิน” มีผลตั้งแต่วันที่ 5 เดือนตุลาคม กฎบังคับดังกล่าวห้ามผู้ชุมนุมสวมใส่หน้ากาก ซึ่งจะเป็นอุปสรรคในการระบุตัวตนสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้ละเมิดถือว่าทำผิดกฎหมาย

 

ความรุนแรงในฮ่องกงยืดยาวมาเป็นเวลามากกว่า 4 เดือน วันที่ 1 เดือนตุลาคม กลุ่มคนใช้ความรุนแรงที่สวมหน้ากากได้รวมตัวกันอย่างผิดกฎหมายในพื้นที่ต่างๆ ของฮ่องกง ปิดกั้นการจราจรในบริเวณกว้าง ทำลายร้านค้า รถไฟใต้ดินและสาธารณูปโภคอื่นๆ อีกทั้งได้จุดไฟเผา โยนระเบิดขวดจำนวนมาก โจมตีสถานที่ราชการและสถานีตำรวจ ทำร้ายเจ้าหน้าตำรวจผู้ปฏิบัติหน้าที่อย่างบ้าคลั่ง ทำร้ายประชาชนทั่วไปอย่างไม่เลือกหน้า พวกเขาจงใจสร้างเหตุการณ์นองเลือดขึ้นมา ความรุนแรงได้ยกระดับขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นการท้าทายกฎหมายอย่างรุนแรง ทำลายความสงบสุขของสังคมฮ่องกง และเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตของเจ้าหน้าที่ตำรวจและประชาชนทั่วไป

 

ในปัจจุบันความอันตรายที่ใหญ่ที่สุดที่ฮ่องกงกำลังเผชิญอยู่ก็ คือ การใช้ความรุนแรงและการไม่เคารพกฎหมาย ถึงเวลาแล้วที่ต้องยุติความรุนแรงและความวุ่นวายด้วยท่าทีที่ชัดเจนมากขึ้นและวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ในสถานการณ์อย่างนี้ รัฐบาลเขตปกครองพิเศษได้บังคับใช้ "กฎบังคับในเรื่องห้ามสวมหน้ากาก" เป็นมาตรการที่ชอบด้วยกฏหมาย ชอบธรรมและมีความจำเป็นอย่างยิ่ง หลายประเทศในโลกก็ได้บังคับใช้กฎหมายห้ามปิดบังใบหน้าเช่นกัน การบังคับใช้กฎบังคับดังกล่าวในฮ่องกง มิได้ส่งผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของชาวฮ่องกง รวมทั้งสิทธิและเสรีภาพในการชุมนุมด้วย

 

รัฐบาลส่วนกลางของประเทศจีนสนับสนุน แคร์รี หลั่ม ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง รัฐบาลเขตปกครองพิเศษฮ่องกง เจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานตุลาการในการดำเนินมาตรการที่จำเป็นเพื่อลงโทษผู้กระทำผิดใช้ความรุนแรงทั้งปวง โดยเฉพาะแกนนำกลุ่มผู้ใช้ความรุนแรง ตลอดจนผู้วางแผนและสั่งการที่อยู่เบื้องหลัง

 

ที่ต้องชี้ให้ทราบว่า ความผันผวนที่มาจากการต่อต้านการแก้ไขกฎหมายในฮ่องกงได้เปลี่ยนตัวไปอย่างสิ้นเชิง กำลังพัฒนาเป็น “การปฏิวัติสี” โดยได้รับการแทรกแซงจากกลุ่มอิทธิพลภายนอก กลุ่มที่คิดจะแบ่งแยกฮ่องกงออกจากประเทศจีน ได้ใช้ประชาธิปไตยและเสรีภาพเป็นข้ออ้าง เพื่อทำลายหลักการพื้นฐานของ “หนึ่งประเทศสองระบบ” บ่อนทำลายอธิปไตยและความบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศจีน ซึ่งฝ่ายจีนคัดค้านอย่างเด็ดขาด

 

กลุ่มที่คิดจะแบ่งแยกฮ่องกงออกจากประเทศจีนยังได้สมคบกับกลุ่มอิทธิพลภายนอก เผยแพร่ข่างลือ บิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อวัตถุประสงค์ที่มิอาจเปิดเผยของตน นักการเมืองประเทศไทยบางคนมีการติดต่อกับกลุ่มที่คิดจะแบ่งแยกฮ่องกงออกจากประเทศจีนโดยมีท่าทีเชิงสนับสนุน ซึ่ง เป็นการกระทำที่ผิดอย่างร้ายแรงและไร้ความรับผิดชอบ ฝ่ายจีนหวังว่าบุคคลที่เกี่ยวข้องสามารถรับรู้ข้อเท็จจริงของปัญหาฮ่องกง ใช้ความระมัดระวัง ทำในเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อมิตรภาพจีน-ไทย”

หากโฟกัส 2 ย่อหน้าสุดท้ายได้กล่าวตั้งข้อสังเกตถึง “นักการเมืองไทยบางราย” ไว้ด้วยนั้น ได้สร้างความกังวลให้กับคนไทยอยู่ไม่น้อย

                                                                      

ช่วงสายของวันที่  11 ตุลาคม 2562 ในการบรรยายพิเศษเรื่อง ปัญหาความมั่นคงของชาติ ของ “บิ๊กแดง- พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์” ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้กล่าวและชี้ให้เห็นอย่างมีนัยสำคัญตอนหนึ่งว่า  

 

“...สิ่งที่ผมกำลังพูดเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นและเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เหตุบังเอิญ มันเป็นทฤษฎี ที่เรียกว่า ไฮบริดวอร์แฟร์  มันไม่ใช่เรื่องถูกอุปโลคขึ้นมา ศึกษาทำเป็นทฤษฎี จากประสบการณ์ที่ประเทศต่างๆล่มสลาย ว่า มันเกิดเหตุอะไรบ้าง

 

ไฮบริดวอร์แฟร์  คือ สงครามลูกผสม สงครามที่ใช้การผสมผสานกันของเครื่องมือทั้งสงครามตามแบบและสงครามไม่ตามแบบ 

 

สงครามตามแบบ คือการใช้กำลังทหารป้องกันปราบปราม การรักาาเสถียรภาพและความมั่นคงทั้งในประเทศและร่วมกับมิตรประเทศ หน่วยที่ 2 เป็นหน่วยพิเศษ ใช้ในการต่อต้านการก่อการร้าย และปฏิบัติในสงครามการนอกแบบ  

 

ไฮบริด วอร์แฟร์ มีความสำคัญอย่างไร เริ่มตั้งแต่กองกำลังที่ไม่ใช่ทหาร เช่น กลุ่มก่อการร้าย การก่ออาชญากรรม มวลชนที่ต่อต้านอำนาจรัฐ กลุ่มยาเสพติด ไอ้ชุดดำ เช่น กลุ่มที่เข้ามาวางระเบิดใน กทม.8จุด และไม่รู้จะเกิดขึ้นอีกเมื่อไร ผมไม่ได้พูดเพื่อท้าทาย แต่ผมเชื่อว่า หลังผมพูดไปแน่นอนทางโซเชียลมีฟีคแบ็คถึงผมแน่ แต่อย่าทำร้ายประเทศ  พวกที่ไม่พอใจ ผมอยากจะให้ทุกคนได้รู้ทันว่า ไฮบริด วอร์แฟร์ มันเกิดขึ้นแล้วในประเทศไทย 

 

ส่วนการสนับสนุนของมวลชนในท้องถิ่นนั้น  คำว่า ประชาชนในท้องถิ่น ก็คือ ประชาชนทั่วไป และทั่วโลกและกลุ่มคนเหล่านี้อยู่ไม่ได้ ถ้าไม่ได้รับการสนับสนุนจากคนในท้องถิ่น ตั้งแต่นักการเมืองระดับชาติ  นักการเมืองท้องถิ่น ผู้นำท้องถิ่น บางคนเป็เศรษฐี อาจจะบริจาคเงินให้ไปทำกิจกรรม ให้ไปทำหนังสือพิมพ์  ให้ไปทำเว็บไซต์ หรือแม่แต่เป็นแหล่งข่าวให้กับฝ่ายตรงข้าม

 

สงครามข่าวสารข้อมูลและการโฆษณาชวนเชื่อ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ทั่วโลกทุกคนแต่ในประเทศไทยหนัก หนักมากจริงๆน่าเป็นห่วง การโฆษณาชวนเชื่อ  ที่สำคัญ คือมันยังมีกลุ่มคอมมิวนิสต์ ที่ไม่ได้กลับใจกลับใจ  ยังมีแนวความคิดที่จะล้มล้างระบอบสถานบันพระมหากษัตริย์ คิดจะทำประเทศไทย ให้กลับมารูปแบบเหมือนคอมมิวนิสต์ คนพวกนี้อายุเท่าไร อายุประมาณ 70-72 รุ่นนี้ไม่ออกตัวแต่เป็นมาสเตอร์มาย  เป็นนักวิชาการ ถ่ายทอดรุ่นสู่รุ่น แล้วผนึกกันร่วมกับพวกอาจารย์ นักวิชาการ ที่ไร้จรรยาบรรณ ท่านเป็นอาจารย์เป็นนักวิชาการไม่ผิดหรอกครับ  แต่ถ้าท่านสอนตามที่สอนตามบทเรียน ท่านไม่พูดตอกย้ำความคิด ของเด็กนักเรียนในทางที่ผิดๆ พูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เด็กก็ต้องเชื่อ แต่ท่านไม่มีจรรยาบรรณของท่าน 

 

มันเป็นการผนวกกันของความคิดที่เรียกว่า การประยุกต์  เป็นการประยุกต์ความคิดระหว่างกลุ่มคอมมิวนิสต์เดิมที่เป็นมาสเตอร์มายอยู่ กับกลุ่มครูอาจารย์ ที่ไปเรียนที่ต่างประเทศกลับมา พวกซ้ายจัด  ให้เรียนในประเทศที่เคยมาล่าอาณานิคมที่ยึดประเทศไทย อึความคิดมาผสมผสานรวมกัน  เพื่อสร้างการโฆษณาชวนเชื่อ แล้วนำแนวความคิดของตัวเองนั้นมผ่านโซเชียล ทั้งเฟสบุ๊ค ไอจี ทวิตเตอร์ ไลน์ สิ่งพิมพ์  ออกข่าวลวง เฟสนิวส์ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น 

 

ทุกวันนี้ ทุกคนมีมือถือกันหมด  ข่าวเฟสนิวส์ทุกวันนี้ หรือข่าวโฆษณาชวนเชื่อทุกวันนี้มันขึ้นมาป๊อปอั๊พเร็วเหลือเกิน  เร็วกว่าเรื่องดีๆ

 

สงครามข้อมูลข่าวสารการโฆษณาชวนเชื่อไม่ได้มีอยู่เพียงเท่านั้น ยังสร้างสัญญลักษณ์  ดูทั่วโลกแล้วย้อนมาดูประเทศไทย การสร้างสัญญลักษณ์ เช่น เสื้อแดง เสื้อเหลือ เสื้อดำ เสื้อสีรุ้ง สร้างสัญญลักษณ์ ชู 3 นิ้ว นี่คือ การสร้างสัญญลักษณ์เพื่อให้เกิดการจดจำว่า ถ้าทำแบบนี้เป็นพวกเดียว...

 

แม้ว่าตลอด 2-3 ชั่วโมงบนเวทีนี้ “บิ๊กแดง” จะไม่ได้ชี้เป้าชัดเจนแต่เชื่อว่า คอการเมืองเดากันออกว่า หมายถึงใคร นักการเมืองคนไหน พรรคใด

 

กระทั่ง ช่วงบ่ายของวันเดียวกันนี้ เมื่อนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ก็ชี้แจงผ่านเฟซบุ๊ก Thanathorn Juangroongruangkit - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อธิบายถึงกรณีที่มีภาพถ่ายร่วมเฟรมกับ “โจชัว หว่อง” ว่า

 

ผมกับโจชัว หว่อง : คำชี้แจงกรณีภาพถ่ายระหว่างผมกับโจชัว หว่อง

 

เนื่องจากมีความพยายามจะเชื่อมโยงว่าผมเข้าไปเกี่ยวข้องกับความไม่สงบและกลุ่มผู้ประท้วงจากภาพคู่ระหว่างผมกับโจชัว หว่อง ผมขอชี้แจงข้อเท็จจริงดังนี้

 

1.เมื่อวันที่ 5 ตุลาคมที่ผ่านมา ผมได้รับเชิญจากนิตยสาร The Economist ซึ่งเป็นนิตยสารเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการเมืองระดับโลก ให้ไปพูดที่งาน Open Future Festival ที่ฮ่องกง ในหัวข้อเรื่อง “Inside the Minds of Asia’s Next Gen Politicians” ซึ่งในวงเสวนาของผมมีผู้ร่วมรายการสองคนได้แก่ Tim Wilson สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหัวก้าวหน้าจากออสเตรเลีย และ Nurul Izzah Anwar สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากมาเลเชีย ลูกสาวของคุณอันวาร์ อิบราฮิม Nurul มาไม่ได้เนื่องจากติดภารกิจ บนเวทีเสวนาจึงเหลือเพียงผมกับ Tim

 

2.หลังจากที่งานเลิกแล้ว ผมและโจชัว หว่อง พบกันในบริเวณงานและได้คุยกันประมาณ 5 นาที เราถ่ายรูปด้วยกันและแยกย้ายกันหลังจากนั้น

 

3.นั่นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ผมพบปะกับโจชัว หว่อง ผมไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มการเมืองใดๆ ในฮ่องกง และไม่มีเจตนาที่จะทำในอนาคต ภารกิจของผมและพรรคอนาคตใหม่คือการสร้างประชาธิปไตยและความก้าวหน้าของสังคมไทย

 

4.การสนทนาและถ่ายรูปกันในหมู่ผู้พูดในงานสัมมนาต่างๆ เป็นเรื่องปกติ ผมเองก็ได้ถ่ายรูปร่วมกับหลายคนในงาน รวมทั้งกับ Shaun L. Rein และมีโอกาสสนทนากับเขาในหลายๆ เรื่อง มากกว่าที่ผมสนทนากับโจชัวเสียอีก Shaun มาจาก China Market Research Group ผู้เขียนหนังสือ The War for China’s Wallet เขาวิพากษ์วิจารณ์การประท้วงในฮ่องกง และขึ้นเวทีถกเถียงกับโจชัว หว่อง

 

5.ในเวทีสัมมนานานาชาติเช่นนี้ การพบปะพูดคุยกับคนที่มีความคิดหลากหลายเป็นธรรมดา และเป็นโอกาสดีที่เราจะได้เรียนรู้ความเห็นที่หลากหลาย เช่นกรณีของ Shaun ซึ่งยืนยันแนวทางการเมืองของปักกิ่ง แต่ก็เสนอว่าการแก้ปัญหาฮ่องกงต้องลดความเหลื่อมล้ำและกระจายรายได้ให้ทั่วถึงคนส่วนใหญ่ด้วย Shaun ยังชวนผมไปพบเขาหากผมมีโอกาสไปปักกิ่งอีก (ผมแนบรูปคู่ระหว่างผม กับ Shaun มาที่นี้ด้วย)

 

6.ผมได้พูดถึง “ฮ่องกง” ในระหว่างที่ผมบรรยายอยู่บนเวทีจริง ผมกล่าวว่าเมื่อปลายปี 2560 ตอนที่ผมและเพื่อนๆ กำลังตัดสินใจทำอะไรสักอย่างเพื่อยุติการสืบทอดอำนาจของระบอบ คสช. เราครุ่นคิดกันว่าจะสร้างขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม (Social Movement) หรือพรรคการเมือง (ซึ่งเรื่องนี้ผมได้เล่าผ่านหลายสื่อในหลายวาระและโอกาสแล้ว) โจทย์นี้เป็นโจทย์ใหญ่ และฮ่องกงชวนให้เราคิดถึงโมเดลขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม แต่สุดท้ายเราตัดสินใจตั้งพรรคการเมืองและต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงผ่านระบบรัฐสภาแทน เนื่องจากความสูญเสียจากการสลายการชุมนุมปี 2553 ยังคงบาดลึกอยู่ในสังคมไทย

 

7.ถ้าจะถามผมต่อเรื่องฮ่องกง ผมสนับสนุนการเคารพธรรมนูญการปกครองฮ่องกงหรือ Basic Law ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อฮ่องกงถูกส่งคืนสู่เขตอำนาจอธิปไตยของจีน โดยยึดหลัก “หนึ่งประเทศ สองระบบ” อย่างสมดุล และเคารพสิทธิการเลือกตั้งผู้บริหารฮ่องกงอย่างเป็นประชาธิปไตยตามที่ระบุไว้ใน Basic Law มาตรา 45

 

8.ผมสนับสนุนการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออกโดยสันติเสมอมา ผมปรารถนาที่จะเห็นสถานการณ์ที่ฮ่องกงคลี่คลายไปได้ด้วยดี ผมไม่ปรารถนาเห็นการใช้ความรุนแรงต่อทั้งพลเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐ ทางออกที่ดีที่สุดน่าจะเป็นการฟื้นฟูความเชื่อถือและไว้วางใจระหว่างเจ้าหน้าที่กับพลเมืองขึ้นมา ไม่ดำเนินการหรือใช้มาตรการใดๆ ที่ไม่สมควรแก่เหตุ

 

9.รูปถ่ายระหว่างผมกับโจชัว หว่อง เพียงภาพเดียวถูกนำมาขยายความต่อเกินความจริง โดยปราศจากหลักฐานยืนยันใดๆ สื่อ, กลุ่มคนบางกลุ่ม, รวมถึงผู้นำกองทัพ พยายามเชื่อมโยงผมกับความไม่สงบในฮ่องกงเพื่อสร้างความเกลียดชังในสังคมไทย ผมขอให้ทุกท่านรับข้อมูลข่าวสารอย่างรอบด้าน และขอยืนยันอีกครั้งว่าเราสร้างพรรคอนาคตใหม่ขึ้นมาด้วยความปรารถนาดีต่อประเทศ เราอยากเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันประเทศสู่ประชาธิปไตย, สร้างความเสมอภาคเท่าเทียมในสังคม และส่งต่อสังคมที่ดีกว่านี้ให้แก่คนรุ่นต่อไป