ตัดไม้ข่มนาม! สหรัฐฯขึ้นบัญชีดำ 8 บริษัทจีนก่อนเจรจาการค้า 10-11 ต.ค.นี้  

09 ต.ค. 2562 | 07:50 น.

การเจรจาของเจ้าหน้าที่ระดับสูงระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน กำลังจะเกิดขึ้นที่กรุงวอชิงตัน ดีซี ในวันที่ 10-11 ตุลาคมนี้แล้วท่ามกลางความคาดหวังว่าการเจรจารอบนี้จะนำไปสู่การคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่าย แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลสหรัฐฯได้ทำลายบรรยากาศของการเจรจาลงแบบดับความหวังแล้ว ด้วยการประกาศขึ้นบัญชีดำ 8 บริษัทเทคโนโลยีของจีนเมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยให้เหตุผลว่าบริษัทเหล่านี้มีส่วนร่วมในการละเมิดสิทธิมนุษยชนของชาวมุสลิมซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในมณฑลซินเจียงทางภาคตะวันตกของประเทศจีน

นายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน กำลังจะนำคณะเยือนสหรัฐฯเพื่อรื้อฟื้นการเจรจาการค้ากันอีกครั้งในวันที่ 10-11 ต.ค.นี้

8 บริษัทไฮเทคของจีนที่ถูกสหรัฐฯขึ้นบัญชีดำนั้นได้แก่ บริษัท หังโจว ไฮค์วิชัน ดิจิทัล เทคโนโลยี (Hangzhou Hikvision Digital Technology Co.) และบริษัท เจ้อเจียง ต้าหัว เทคโนโลยี (Zhejiang Dahua Technology Co.) เป็นผู้ผลิตกล้องวงจรปิดรายใหญ่ มีส่วนแบ่งตลาด(กล้องวงจรปิด)รวมกันคิดเป็นสัดส่วนราว 1 ใน 3 ของตลาดโลก บริษัท เซนส์ไทม์ กรุ๊ป จำกัด (SenseTime Group Ltd.) สตาร์ทอัพผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence: AI) ที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลก บริษัท เม็กวี เทคโนโลยี จำกัด (Megvii Technology Ltd.) เชี่ยวชาญด้านเอไอเช่นกัน และกำลังมีแผนจะนำหุ้นเข้าตลาดเป็นครั้งแรกที่ฮ่องกงในเร็วๆนี้ เป้าหมายระดมทุนขั้นต้น 1,000 ล้านดอลลาร์ ทั้งสองบริษัทได้รับการสนับสนุนจากบริษัท อาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ยักษ์ใหญ่ด้านอี-คอมเมิร์ซของจีน  ซึ่งต้องการเป็นหัวหอกในการพัฒนาเทคโนโลยีเอไอของจีนให้ก้าวหน้าในระดับโลก อีก 4 บริษัทได้แก่ ไอฟลายเทค (iFlytek) อี้ตู้ เทคโนโลยีส์ (Yitu Technologies) เซียะเหมิน เมยยา ปิโก อินฟอร์เมชัน จำกัด (Xiamen Meiya Pico Information Co.,Ltd.) และ อี้ซิน ไซเอินซ์ แอนด์ เทคโนโลยี (Yixin Science and Technology)


รายงานข่าวระบุว่า ทางการจีนใช้เทคโนโลยีไฮเทคหลายอย่างในการติดตามข้อมูลส่วนบุคคลและจับกุม-ปราบปรามชาวมุสลิมที่เป็นชนกลุ่มน้อยในมณฑลซินเจียง

การประกาศขึ้นบัญชีดำบริษัทจีนครั้งล่าสุดนี้ เกิดขึ้นหลังตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดการซื้อขายแล้วเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (7 ต.ค.) และเป็นวันเดียวกับที่มีการเจรจาในระดับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการทั้งฝ่ายจีนและสหรัฐฯเพื่อเตรียมการสำหรับการเจรจาของเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่กำลังจะมีขึ้นในวันพฤหัสฯนี้ (10 ต.ค.) เป็นวันแรกที่กรุงวอชิงตัน ดีซี

 

โฆษกกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯระบุว่า การขึ้นบัญชีดำบริษัทไฮเทคจีนครั้งนี้ไม่มีความเกี่ยวเนื่องกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน  และปฏิกริยาของตลาดที่เกิดขึ้นหลังรู้ว่ามีการรื้อฟื้นการเจรจาการค้าขึ้นมาอีกครั้ง ก็คือการเข้ามาซื้อหุ้นกันมากขึ้นทำให้ปริมาณการซื้อขายดีดตัวขึ้นมา แต่ถึงโฆษกกระทรวงพาณิชย์จะกล่าวอย่างนั้น นักวิเคราะห์ก็มองว่า การตัดสินใจขึ้นบัญชีดำบริษัทจีนครั้งนี้ถือเป็นการนำการเจรจาการค้าจีน-สหรัฐฯไปสู่ทิศทางใหม่ ที่มีการดึงเอาประเด็น ‘การละเมิดสิทธิมนุษยชน’ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะแต่ไหนแต่ไรมาก่อนหน้านี้  เหตุผลที่สหรัฐฯมักจะใช้ในการตัดสินใจคว่ำบาตร-ไม่ยุ่งเกี่ยวทางธุรกิจกับบริษัทของจีน  มักจะอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงปลอดภัยของประเทศเป็นหลัก  เช่นในกรณีที่สหรัฐฯประกาศคว่ำบาตรบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยีส์ เป็นต้น

 

ในสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯครั้งล่าสุดนี้ ประเด็นอื่นๆ ที่สหรัฐฯนำมากล่าวอ้างนอกจากเรื่องพฤติกรรมการค้าที่ไม่เป็นธรรมของจีนแล้ว ยังมีเรื่องของการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา  การให้เงินอุดหนุนอุตสาหกรรมภายในประเทศเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ตลอดจนความพยายามควบคุมและครอบครองเทคโนโลยีต่างชาติของรัฐบาลจีน  

 

วิลเบอร์ รอส รัฐมนตรีพาณิชย์ของสหรัฐฯ

การขึ้นบัญชีดำ 8 บริษัทจีนครั้งนี้ หมายความว่า ทั้ง 8 บริษัทดังกล่าวถูกห้ามทำธุรกิจค้าขายกับบริษัทอเมริกันหากไม่ได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานของสหรัฐฯก่อน  เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และราคาหุ้นของบริษัทที่ถูกขึ้นบัญชีดำ โดยรายงานข่าวระบุว่า หุ้นของไฮค์วิชัน และต้าหัวฯ ซึ่งมีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ของจีน ถูกสั่งระงับการซื้อขายชั่วคราวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (8 ต.ค.) ส่วนหุ้นของบริษัทไอฟลายเทค ราคาปรับลดลงมาถึง 3.1%

 

นายวิลเบอร์ รอส รัฐมนตรีพาณิชย์ของสหรัฐฯ ให้เหตุผลว่า บริษัทเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องในการจับกุมและกักขังชาวมุสลิมซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในมณฑลซินเจียง  มาตรการคว่ำบาตรที่สหรัฐฯนำมาใช้กับบริษัทไฮเทคของจีนก็เพื่อตอกย้ำว่า เทคโนโลยีนั้นจะต้องไม่ถูกนำมาใช้ในการกดดันและปราบปรามชนกลุ่มน้อยที่ไม่สามารถป้องกันตัวเองได้อยู่แล้ว  นอกเหนือจากบริษัทไฮเทคทั้ง 8 รายนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯยังขึ้นบัญชีดำหน่วยงานของรัฐบาลจีนในมณฑลซินเจียงอีกหลายหน่วยงาน ซึ่งรวมถึงโรงเรียนนายร้อยตำรวจของมณฑลซินเจียงด้วย