ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีประสานเสียงชี้ยอดขายจนถึงไตรมาส 3 หดตัวกว่า 30% เหตุเศรษฐกิจในประเทศไม่กระเตื้อง ส่งผลให้ผู้บริโภคไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย
สิ้นสุดไตรมาสที่ 3/2562 ไปเรียบร้อยแล้ว สถานการณ์เศรษฐกิจภายในประเทศยังไม่มีทีท่าว่าจะกระเตื้องขึ้นเท่าใดนัก เห็นได้จากการปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจ หรือจีดีพีของไทย โดยสำนักวิจัย และองค์กรที่เกี่ยวข้องทางด้านเศรษฐกิจที่ปรับลดคาดการณ์ลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี ไม่ว่าจะเป็นศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มอี ที่ปรับลดตัวเลขลงเหลือ 2.7% ตั้งแต่ช่วงต้นไตรมาสที่ 2/2562 จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 3% และล่าสุดกับคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องมุมมองแบบอนุรักษนิยมก็มีการรปรับลดตัวเลขลงเหลือ 2.8% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 3.3% เป็นต้น ขณะที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (SMEs) ต่างก็ประสานเสียงบอกถึงยอดขายที่ลดลง
นางสาวกิ่งดาว คูสกุล-ธรรม ผู้บริหารบริษัท ชัยสวรรค์สแนค จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายปูอัดทอดกรอบแบรนด์ “คูซ่า” (Koosa) กล่าวให้ความเห็นกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ตั้งแต่ช่วงต้นปีจนถึงไตรมาสที่ 3/2562 ยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของบริษัทหายไปประมาณ 10-15% โดยรับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศพอสมควร ซึ่งส่งผลทำให้ผู้บริโภคไม่ค่อยจับจ่ายใช้สอย อีกทั้งผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ไม่ใช่อาหารหลัก แต่เป็นอาหารประเภทขบเคี้ยว ผู้บริโภคเองจึงเลือกที่จะลดปริมาณการซื้อลง
จากปัญหาดังกล่าวบริษัทได้ดำเนินการสร้างแบรนด์ใหม่ขึ้นมาภายใต้ชื่อ “คิงส์ซ่า” เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ข้าวแต๋นปูอัด โดยมุ่งเน้นไปยังกลุ่มเป้าหมายที่มีรายได้ระดับล่างจนถึงกลาง เพื่อขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมมากขึ้น จากเดิมที่แบรนด์คูซ่า จะเป็นผลิตภัณฑ์แบบพรีเมียม และเจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงบน โดยเป็นการปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งมองว่าผู้บริโภคต้องการผลิตภัณฑ์ที่มีราคาสมเหตุสมผล อีกทั้งยังมีปริมาณที่มาก และได้รับคุณประโยชน์ในการรับประทาน
“การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวของบริษัทถือเป็นการสร้างโอกาสในภาวะวิกฤติ โดยนำผลิตภัณฑ์เดิมมาต่อยอดให้สามารถรับประทานได้ทุกวัย และทุกกลุ่มรายได้ อีกทั้งยังคำนึงถึงคุณประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับจากปูอัดและข้าวพันธุ์ดีที่บริษัทเลือกสรรมาเป็นวัตถุดิบ โดยปัจจุบันได้เริ่มทดลองทำตลาดแล้ว เพื่อให้ผู้บริโภครับรู้ และจะทำการตลาดอย่างจริงจังในช่วงไตรมาสที่ 4 ผ่านห้างโมเดิร์นเทรด”
สอดคล้องกับความคิดเห็นของนางสาวศรีประภา มณุ-โชติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองเลยหมอนยางพารา จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายหมอนยางพาราพรีเมียมแบรนด์ “ลาเท็กซ์ ดี เลย” (Latex de Loei) ซึ่งระบุว่า ยอดจำหน่ายของแบรนด์หายไปประมาณ 20% ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากกำลังซื้อภายในประเทศที่ชะลอตัวลง อีกทั้งยังมาจากการที่โรงงานผู้ผลิตแบบใช้เครื่องจักร ซึ่งเป็นเกรดระดับรองลงไปนำผลิตภัณฑ์มาจำหน่ายให้กับผู้ที่รับไปจำหน่ายบนช่องทางออนไลน์ในราคาที่ไม่สูงมากมาแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดไป
อย่างไรก็ตาม แบรนด์ยังได้ยอดจำหน่ายจากส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยังประเทศจีนมาช่วยสนับสนุน ทำให้ยอดจำหน่ายไม่ลดลงไปมากกว่าที่เป็นอยู่ โดยกลยุทธ์ในการรับมือระยะต่อไปนั้น แบรนด์จะมุ่งเน้นที่ตลาดส่งออกเป็นหลัก โดยล่าสุดได้ไปทดลองทำตลาดที่ประเทศบาห์เลน ซึ่งทำให้ได้ยอดคำสั่งซื้อเข้ามาพอสมควร และกำลังอยู่ในขั้นตอนของเจรจาทางธุรกิจ เพื่อให้เป็นคู่ค้ากันต่อไปในระยะยาว ขณะที่ประเทศไทยก็ยังมีกลุ่มของผู้ที่มีรายได้ระดับสูง ซึ่งต้องการผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพให้ทำตลาด
นายวีระ ตั้งวุทฒิไกรวิทย์ กรรมการผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจำกัด แม่ละมายผู้ผลิตและจำหน่ายขนมหวานวุ้นมะพร้าวแบรนด์ “แม่ละมาย” และรองประธานหอการค้าจังหวัดสุพรรณบุรี กล่าวว่า ในส่วนของธุรกิจที่ตนทำอยู่ยังไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ราคาไม่สูงมาก โดยผู้ที่เคยรับประทานผลิตภัณฑ์ที่มีราคาสูงส่วนหนึ่งนั้น ในปัจจุบันก็หันมาเลือกรับประทานผลิตภัณฑ์ที่มีราคาเหมาะสมมากขึ้น
ในฐานะที่เป็นรองประธานสภาหอการค้าฯ และได้มีการสอบถามข้อมูลจากกลุ่มเอสเอ็มอีที่ขายของทั่วไป พบว่าได้รับผลกระทบพอสมควร โดยเฉพาะกลุ่มของร้านอาหารในต่างจังหวัด ซึ่งยอดขายหายไปประมาณ 20-30% เนื่องจากกลุ่มของผู้บริโภคมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น เพราะไม่เชื่อมั่นในสภาวะเศรษฐกิจ
“กลุ่มร้านอาหารในกรุงเทพ มหานครยังมีวิธีการกระตุ้นยอดขายด้วยการร่วมมือกับผู้ให้บริการขนส่งอย่าง แกร็บไบค์ หรือไลน์แมน ทำให้ยอดขายเพิ่มมากขึ้นจากช่องทางดังกล่าว แต่กลุ่มร้านอาหารที่อยู่ต่างจังหวัดยังไม่สามารถดำเนินการในรูปแบบดังกล่าวเพื่อบรรเทาผลกระทบได้ เนื่องจากระบบขนส่งยังให้บริการได้ไม่ครอบคลุม ขณะที่ส่วนใหญ่เองก็มีความกลัวที่จะต้องเปลี่ยนแปลง”
หน้า 8 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3510 วันที่ 3-5 ตุลาคม 2562