ร.พ.ลุ้น เมดิคัลวีซ่า  ดันสัดส่วนคนไข้ต่างชาติ

03 ต.ค. 2562 | 08:05 น.

โบรกฯเผยหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลรับผลบวกจาก Medical Hub เสนอครม.เพิ่ม Medical Visa เป็นวีซ่าชนิดใหม่ มองช่วยเพิ่มสัดส่วนผู้ป่วยต่างชาติ หลังชาวตะวันออกกลางลดลง ชี้ปีนี้ยังมีความเสี่ยงและท้าทาย โรงพยาบาลเริ่มแข่งขันสูง

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า กรณีบอร์ด Medical Hub จะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพิ่ม Medical Visa เป็นวีซ่าชนิดใหม่นั้น เป็นผลดีต่อโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีสัดส่วนผู้ป่วยชาวต่างชาติในระดับสูง โดย 3 อันดับแรก คือ บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) (BH) สัดส่วน 65% บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) สัดส่วน 30% และ บมจ. บางกอก เชน ฮอสปิทอล (BCH) สัดส่วน 10%

อย่างไรก็ตาม ช่วงที่ผ่านมาการเดินทางเข้ามารักษาตัวในไทยของผู้ป่วยชาวตะวันออกกลางมีจำนวนลดลง เนื่องจากประเทศในตะวันออกกลางได้เริ่มจัดตั้งสถานพยาบาลรักษาเอง เพื่อประหยัดงบประมาณค่ารักษาพยาบาล โดยมองว่าหาก Medical Visa เกิดขึ้นได้ จะช่วยเสริมให้จำนวนผู้ป่วยต่างชาติมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อผลการดำเนินงานของกลุ่มโรงพยาบาล แต่ต้องติดตามต่อว่าจะสามารถทดแทนกันได้หรือไม่ เพราะค่ารักษาพยาบาลของผู้ป่วยต่างชาติเมื่อเทียบกับค่ารักษาพยาบาลของผู้ป่วยในประเทศอยู่ที่สัดส่วน 1 ต่อ 3 เท่า 

ร.พ.ลุ้น เมดิคัลวีซ่า  ดันสัดส่วนคนไข้ต่างชาติ

 

ภาพรวมผลการดำเนินงานของกลุ่มโรงพยาบาลมองว่ายังเสี่ยง และมีความท้าทาย จากผลกระทบผู้ป่วยต่างชาติที่ลดลง โดยค่ารักษาผู้ป่วยต่างชาติ 1 ราย เทียบเท่ากับผู้ป่วยในประเทศ 3 ราย ทำให้ปัจจุบันการแข่งขันเริ่มสูงขึ้น โรงพยาบาลต้องมีการบริหารต้นทุนใหม่ รวมถึงลดราคาค่ารักษาทางอ้อมด้วยการออกแพ็กเกจตรวจสุขภาพ หรือคลอดบุตร ซึ่งมีผลต่อความสามารถทำกำไร ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 3 เป็นช่วงไฮซีซันจากการเจ็บป่วยของฤดูกาล แต่ในส่วนของโรงพยาบาลที่มีสัดส่วนผู้ป่วยต่างชาตินั้น จะควบคู่ไปกับฤดูกาลท่องเที่ยว คือช่วงไตรมาส 4-1 ของทุกปี

บล.เอเซีย พลัส จก. ระบุว่า จากการที่บอร์ด Medical Hub เสนอสิทธิ Free Visa 90 วันให้กับชาวสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นสำหรับเดินทางมารักษาในไทย และเสนอเพิ่ม Medical Visa เป็น Visa ชนิดใหม่นั้น จะช่วยหนุนให้โรงพยาบาลกลุ่มที่เชี่ยวชาญการทำตลาดและมีสัดส่วนรายได้ชาวต่างชาติมากอยู่แล้ว ประกอบด้วย BH สัดส่วน 66%, BDMS สัดส่วน 30% และ BCH สัดส่วน 10% ขยายฐานผู้ป่วยได้ง่ายมากขึ้น ขณะที่ในระยะสั้นก็มีประเด็นบวกผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2562 ที่เป็นไฮซีซัน และในไตรมาส 4 ปี 2562 ยังมีอานิสงส์จากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่เห็นสัญญาณการเริ่มกลับมาอยู่ในระดับสูงส่งผลต่อสุขภาพตั้งแต่ต้นไตรมาส

 

ขณะที่ มาตรการด้านการแพทย์จะเพิ่มสิทธิประกันสุขภาพครอบคลุมโรคร้ายแรงที่โครงการบัตรทองไม่ครอบคลุมถึง คาดว่าหากไม่มีการจำกัดสิทธิรักษาเฉพาะโรงพยาบาลรัฐ จะเป็นผลดีกับโรงพยาบาลเอกชนที่รับผู้ป่วยระดับกลางและมีเครือข่ายอยู่แล้ว อย่าง BCH, บมจ.โรงพยาบาลจุฬารัตน์ (CHG) และบมจ.โรงพยาบาลราชธานี (RJH)

ด้านบล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ฯ ระบุว่า คาดครม.จะอนุมัติให้อีก 2 ประเทศ คือ สหรัฐฯ และญี่ปุ่น เดินทางมารักษาแบบ Medical Visa โดยไม่ต้องลงตราวีซ่า 90 วัน ถือเป็นผลกระทบเชิงบวกต่อโรงพยาบาลที่มีฐานลูกค้าชาวต่างชาติ โดยเฉพาะสหรัฐฯและญี่ปุ่น ทั้งนี้ แนะนำเลือก BDMS ซื้อที่ราคาเป้าหมาย 27 บาท เป็นหุ้น Top pick รองลงมาคือ BCH ซื้อที่ราคาเป้าหมาย 19 บาท และซื้อเก็งกำไรในหุ้น BH ที่ราคา 164 บาท เพราะคาดกำไรของ BH ในปีนี้ยังมีแนวโน้มลดลงจากปีก่อนจากผลกระทบสงครามการค้า

หน้า 17-18 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,510 วันที่ 3-5 ตุลาคม 2562

               ร.พ.ลุ้น เมดิคัลวีซ่า  ดันสัดส่วนคนไข้ต่างชาติ