พ่อค้าฟันเละ กฟผ.เผาปาล์มแสนตัน
ปาล์มปั่นไฟ 1.1 แสนตัน ส้มหล่นใส่โรงสกัด ฟันกำไรไม่ตํ่า 2 บาทต่อกก. จาก กฟผ.ประกาศราคากลางรับซื้อ 17.50 บาทต่อกก. ขณะเอกชนรายใหญ่มีนํ้ามันต้นทุนตํ่า 14-15 บาทต่อกก.ขนร่วมวงชิงเค้ก 2 พันล้าน จับตาผู้ค้าฮั้วประมูล ดันราคาปาล์มไม่ขยับ รัฐแบกอ่วมประกันรายได้
“ฐานเศรษฐกิจ” ยังเกาะติดสถานการณ์ราคาปาล์มนํ้ามันที่ยังย่ำอยู่กับที่เฉลี่ย 2.60-2.70 บาทต่อกิโลกรัม(กก.) มีผลให้รัฐบาลต้องแบกจ่ายชดเชยส่วนต่างประกันรายได้ปาล์มงวดแรกที่ 1.32 บาทต่อกก. ควบคู่มาตรการให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซื้อนํ้ามันปาล์มดิบ (ซีพีโอ) เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าตามแนวทางการดูดซับนํ้ามันปาล์มดิบ (เพิ่มเติม) จำนวน 1.1 แสนตัน (จากเป้าหมายที่เหลืออีก1.33 แสนตัน) วงเงินกว่า 1,925 ล้านบาท โดยจะเปิดให้โรงสกัดนํ้ามันปาล์มดิบยื่นเสนอราคาในวันที่ 9 ตุลาคมนี้ตั้งแต่เวลา 08.00-16.00 น.
นายอธิราษฎร์ ดำดี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายปาล์มนํ้ามันแห่งชาติ (กนป.) เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ในรอบนี้ กฟผ. ออกมาซื้อเพียง 1.1 แสนตันตามงบประมาณที่บอร์ดสามารถอนุมัติได้ ส่วนที่เหลือกว่า 2.37 หมื่นตันให้จัดซื้อตามความเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ราคานํ้ามันปาล์ม ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2562
“ราคากลางรอบนี้อยู่ที่ 17.50 บาทต่อกก. โดย กฟผ.จะพิจารณาให้ผู้ที่เสนอราคานํ้ามันปาล์มดิบตํ่าสุด (บาทต่อกิโลกรัม) เป็นผู้ชนะเสนอราคา และหากรายสุดท้ายเสนอปริมาณเมื่อรวมแล้วเกิน 1.1 แสนตัน กฟผ.จะไม่พิจารณารายนั้น ถือว่าเป็นส้มหล่นสำหรับโรงสกัดที่จะเข้ามาชิงเค้กในรอบนี้”
อย่างไรก็ดีจากราคาที่ 17.50 บาทต่อกก.มองเป็นการเอื้อกับโรงงานสกัดที่จะเล่นราคา ซึ่งหากเอกชนแอบตกลงกันว่าจะยืนพื้นที่ราคาหนึ่ง หากราคานํ้ามันที่เก็บไว้มีต้นทุนไม่ถึง 17.50 บาทต่อ กก. ก็จะได้กำไร เพราะที่ผ่านมาเอกชนซื้อเก็บสต๊อกไว้ที่ราคา 14-15 บาทต่อกก. กฟผ.มาเปิดรับซื้อที่ราคานำตลาด 17.50 บาทต่อกก. ดังนั้นคาดว่างานนี้ผู้เสนอขายมีกำไรไม่ตํ่ากว่า 2 บาทต่อกก.
นายอธิราษฎร์ กล่าวอีกว่า หลังเปิดให้เอกชนยื่นซองเสนอราคาในวันที่ 9 ตุลาคมนี้แล้ว จะพิจารณาราคา และจะเริ่มลงนามในสัญญาได้ตั้งแต่วันที่ 22 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไปโดยให้ส่งมอบนํ้ามัน ณ คลังนํ้ามันปาล์มดิบจังหวัดสุราษฎร์ธานี ตั้งแต่วันที่ 22-28 ตุลาคม 2562 ซึ่งคาดว่ามาตรการนี้จะช่วยพยุงราคาปาล์มนํ้ามันของเดือนตุลาคมได้ในระดับ 3 บาทต่อกก. ซึ่งจะทำให้ช่วยลดภาระของรัฐในการชดเชยส่วนต่างราคาปาล์มลงจากการจ่ายงวดแรก (1 ต.ค.62 จ่ายชดเชยที่ 1.32 บาทต่อกก.) แต่หาก กฟผ.ซื้อนํ้ามันปาล์มดิบในรอบนี้แล้ว ราคาปาล์มยังไม่ดีขึ้น แสดงว่าเอกชนมีการฮั้วราคา ไม่มีการแข่งขันรับซื้อจากเกษตรกร
ทั้งนี้ราคาปาล์มทะลายจะต้องสัมพันธ์กับราคาปาล์มตามเปอร์เซ็นต์นํ้ามัน เนื่องจากระบบโครงสร้างราคาปาล์มนํ้ามันที่ทำไว้ยังไม่เสร็จสิ้น ซึ่งวิธีคิดราคาปาล์มที่ถูกต้องเป็นธรรมยังไม่ถูกนำมาใช้งาน เพราะฉะนั้นสิ่งที่ภาครัฐควรระมัดระวังอย่างยิ่งก็คือการฮั้วซื้อปาล์มทะลายในราคาที่ตํ่า โดยโยนภาระการชดเชยส่วนต่างราคาไปให้รัฐบาล
แหล่งข่าววงการปาล์มนํ้ามัน กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลยืน 2 ขา ขาหนึ่งช่วยโรงสกัดให้เกิดการแข่งขัน อีกขาหนึ่งช่วยให้เกษตรกรยืนได้ เพราะถ้าโรงสกัดไม่ได้แข่งขันกัน ทุกคนตอนนี้มีของอยู่ในสต๊อกค่อนข้างมาก ดังนั้นจะต้องเฝ้าระวังและตรวจสอบโรงสกัดไม่ให้จับมือกันรักษาระดับ (ฮั้ว) ราคา เพื่อให้มีกำไรมากขึ้น
“ภาครัฐควรติดตามพฤติกรรมตลาดของกลุ่มอุตสาหกรรมปาล์มนํ้ามันด้วย หากซื้อถูกเกินไปก็จะกระทบรัฐต้องแบกภาระชดเชยส่วนต่างมาก ถ้าหากว่าราคาในตลาดถูกดึงให้สูงขึ้น ก็จะไปกระทบกลุ่มโรงกลั่นนํ้ามันปาล์มบริสุทธิ์เพื่อบริโภคและกลุ่มบี 100 ที่ต้นทุนจะสูงขึ้น และหาทางดึงราคาลงมา”
ส่วนกรณีที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่มีนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นประธานได้เห็นชอบให้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2563 นํ้ามันดีเซลหมุนเร็วบี 10 ต้องมีจำหน่ายทุกสถานีซึ่งจะช่วยเพิ่มการใช้นํ้ามันปาล์มเป็นส่วนผสมในนํ้ามันดีเซลนั้น ตั้งคำถามว่าวันนี้ผู้ประกอบการพร้อมแล้วหรือยัง ไม่แน่ใจว่าพอถึงเวลาจะเลื่อนอีกหรือไม่
หน้า 15 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3510 วันที่ 3-5 ตุลาคม 2562
