“การอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ”ที่ปิดฉากไป แม้ว่ายังไม่อาจสั่นคลอนเสถียรภาพ “รัฐบาลเสียงปริ่มนํ้า” ได้ อาจเป็นเพราะศึกครั้งนี้เป็นการอภิปรายแบบไม่ต้องลงมติ จึงไม่ยากที่ “รัฐบาลประยุทธ์ 2” จะรับมือ
แต่สำหรับศึกสำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้นในเวลาอีกไม่นานนักนี้ในสมัยประชุมสภาวิสามัญสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่าง พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 (พ.ร.บ. งบประมาณปี 63) กฎหมาย สำคัญที่รัฐบาลต้องผลักดันออกมาให้ได้ เพราะหมายถึงเงินในกระเป๋าของรัฐบาลที่จะนำมาพัฒนาประเทศ ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 17-18 ตุลาคมนี้ ในขั้นการรับหลักการ ก่อนเข้าที่ประชุมวุฒิสภาเพื่อพิจารณากลั่นกรองในวันที่ 19-20 ตุลาคมนี้ อาจไม่ง่ายสำหรับรัฐบาลมือใหม่
ตามรัฐธรรมนูญปี 2560 กำหนดให้การเสนองบประมาณของรัฐบาลนั้น ต้องแสดงแหล่งที่มา และประมาณการรายได้ ผลสัมฤทธิ์ หรือประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ รวมถึงความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนพัฒนาต่างๆ ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาภายใน 105 วัน แปรญัตติ ได้ในทางลดหรือตัดทอนรายจ่าย ยกเว้นต้นเงินกู้ ดอกเบี้ยเงินกู้ และเงินที่กำหนดให้ต้องจ่ายตามกฎหมาย ในส่วนของการพิจารณางบประมาณของวุฒิสภา (ส.ว.) จะพิจารณาภายใน 20 วันว่าเห็นชอบ หรือไม่เห็นชอบ
นอกจากนี้เพื่อป้องกันประโยชน์ทับซ้อนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ในการพิจารณาของ ส.ส. และ ส.ว. หรือ คณะกรรมาธิการ กำหนดห้ามเสนอ แปรญัตติ หรือกระทำการใดที่มีผลให้ ส.ส. และ ส.ว. มีส่วนทั้งทางตรงและทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย เพราะอาจเข้าข่ายความผิดตาม มาตรา 144 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า หากพบการกระทำผิด ส.ส. ส.ว.จะสิ้นสุดสมาชิกภาพ ถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง
ในขณะที่คณะรัฐมนตรีจะต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ ถูกเพิกถอนสิทธิสมัครเลือกตั้ง และให้ผู้กระทำรับผิดชดใช้เงินรวมถึงดอกเบี้ย และถูกเรียกเงินคืน หรือต้องชดใช้ค่าเสียหายภายใน 20 ปี รัฐบาลจึงต้องมีความระมัดระวัง “ไม่สะดุดขาตัวเอง” ล้มไปเสียก่อน
หากผ่านพ้น “ศึกงบประมาณ” มาได้ รัฐบาลก็มีเวลาได้พักหายใจหายคอบ้าง แต่ไม่นานนัก เพราะต้นเดือนพฤศจิกายน ก็จะมีการเปิดสภาสมัยสามัญประจำปี ครั้งที่ 2 ซึ่งรัฐบาลมี “ศึกใหญ่” รออยู่ นั่นคือ การอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ ครม. โดยพุ่งเป้ามุ่งโจมตีไปที่ตัว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นหลัก
ทั้งนี้เชื่อว่า เมื่อเปิดสภาสมัยสามัญครั้งที่ 2 แล้ว “พรรคร่วมฝ่ายค้าน” จะต้องยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลแน่นอน แต่กว่าจะได้อภิปรายกันจริง เวลาอาจจะล่วงเลยไปท้ายๆ สมัยประชุมสภา นั่นคือ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ (ที่ผ่านมาทุกรัฐบาลมักให้อภิปราย ท้ายๆ สมัยประชุมสภา)
ศึกซักฟอกครั้งนี้จะเป็นตัวชี้ขาดวัดเสถียรภาพเสียงปริ่มนํ้าของรัฐบาลอย่างแท้จริงว่า จะ “อยู่” หรือ “ไป”
สำหรับการขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลนั้น ตามรัฐธรรมนูญปี 2560 ทำได้ใน 2 กรณี คือ การเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ และการเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ซึ่งต่างจากที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่กำหนดให้ ส.ส.สามารถขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจได้ 2 กรณี คือ การเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และการเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล
อย่างไรก็ดี การยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจครม. และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลตามรัฐธรรมนูญ ปี 2560 มีหลักเกณฑ์เช่นเดียวกัน คือ ส.ส.จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร มีสิทธิเข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจครม.ทั้งคณะหรือรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลได้
เมื่อได้มีการเสนอญัตติดังกล่าวแล้วจะมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรไม่ได้ เว้นแต่จะมีการถอนญัตติหรือการลงมติไม่ไว้วางใจได้คะแนนเสียงไม่ไว้วางใจไม่มากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร
เมื่อการอภิปรายทั่วไปสิ้นสุดลงโดยไม่ได้สิ้นสุดลงด้วยมติให้ผ่านระเบียบวาระการเปิดอภิปรายนั้นไป ให้สภาผู้แทนราษฎรลงมติไว้วางใจหรือไม่ไว้วางใจ โดยการลงมติดังกล่าวไม่ให้กระทำในวันเดียวกับวันที่การอภิปรายสิ้นสุดลง เพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้มีเวลาไตร่ตรอง
สำหรับรัฐมนตรีคนใดพ้นจากตำแหน่งเดิม แต่ยังคงเป็นรัฐมนตรีในตำแหน่งอื่นภายหลังจากวันที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ หรือพ้นจากตำแหน่งเดิมไม่เกิน 90 วันก่อนวันที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเข้าชื่อเสนอญัตติดังกล่าว แต่ยังคงเป็นรัฐมนตรีในตำแหน่งอื่น ให้รัฐมนตรีคนนั้นยังคงต้องถูกอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจต่อไป
หากสภาลงมติไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรีผู้นั้นจะต้องพ้นจากตำแหน่งในทันที ตามมาตรา 170 ของรัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรีมีสถานภาพเป็นรัฐมนตรีคนหนึ่งที่อาจถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ หากนายกรัฐมนตรีถูกลงมติไม่ไว้วางใจแล้ว ย่อมทำให้ทั้งคณะรัฐมนตรีสิ้นสุดลงด้วย
ในการลงมติไม่ไว้วางใจ กฎหมายกำหนดให้ต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร
นั่นหมายความว่า “รัฐบาลประยุทธ์ 2” ต้องได้เสียงไว้วางใจ 249 เสียงขึ้นไป จากเสียงส.ส.ทั้งหมดที่มีอยู่ ณ ปัจจุบัน คือ 498 เสียง เมื่อตัดเสียงของประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่โดยมารยาทจะงดออกเสียง รวมเสียงของ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ ส.ส.กำแพงเพชร สังกัดพรรคพลังประชารัฐ ที่กำลังลุ้นในคดีล้มการประชุมอาเซียนที่พัทยา ที่ศาลฎีกาจะตัดสินในวันที่ 31 ตุลาคมนี้ ซึ่งอาจจะทำให้หดหายไปอีก 1 เสียง รวมถึงคดี 32 ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลกรณีถือหุ้นสื่อที่อยู่ในมือศาลรัฐธรรมนูญอีกนับสิบๆ รายที่งวดเข้ามาทุกขณะให้ได้ลุ้นทุกเสี้ยวนาที
ศึกหนักครั้งนี้จะหวังพึ่งคะแนนจาก ส.ว. เช่นเดียวกับการโหวตชื่อนายกฯ ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะไม่ได้ร่วมประชุมและลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ ดังนั้น หาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่ได้เสียงข้างมากจาก ส.ส.ที่เกินกึ่งหนึ่ง เท่ากับว่านายกฯ หรือคณะรัฐมนตรีจะถูกถอดออกจากตำแหน่ง และส่งผลให้รัฐบาลสิ้นสุดลงทันที
เหล่านี้ล้วนเป็นเงื่อนไขและปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลกระทบถึงการลงมติคะแนนโหวตไว้วางใจ-ไม่ไว้วางใจ ซึ่งเป็นความอยู่รอดของ “รัฐบาลประยุทธ์ 2” แทบทั้งสิ้น
หน้า 14 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 39 ฉบับที่ 3,508 วันที่ 26-28 กันยายน 2562