-นักธุรกิจไทยยังมั่นใจเศรษฐกิจจีน
-นักวิชาการฟันธง เศรษฐกิจจีนไม่หลุดกรอบ6% แน่นอนปีนี้
-มี 3 ส่วนหลักเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ประเทศพันธมิตรทางการค้าการลงทุนของจีนจากทั่วโลก ต่างเฝ้าติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจจีนว่าปีนี้จะเป็นไปตามเป้าที่ตั้งเป้าไว้หรือไม่ โดยจีดีพีจะต้องเติบโตไม่ต่ำกว่า 6% และเมื่อโฟกัสไตรมาสแรกปีนี้จีดีพีจีนเติบโต 6.4% ไตรมาส 2 จีดีพีเติบโต 6.2% และถ้ามองเฉลี่ยครึ่งปีแรกเศรษฐกิจจีนยังคงเติบโตอยู่ในกรอบเป้าหมาย 6.3%
ก่อนหน้านี้รัฐบาลจีนคาดการณ์ว่าจีดีพีต้องเติบโตที่ 6-6.5% จึงต้องรวบรวมพละกำลังใช้ความพยายามในการรักษาไม่ให้จีดีพีในปลายปีนี้ร่วงลงไปต่ำกว่า 6% เพราะถ้าหลุดกรอบ 6%ไปเมื่อไหร่จะมีผลต่อจิตวิทยาด้านลบทันที จึงต้องออกแรงมากกว่าทุกครั้งในท่ามกลางแรงกดดันจากศึกสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ ที่ยังยืดเยื้ออยู่
ก่อนหน้านี้ “ฐานเศรษฐกิจ”สำรวจความเห็นจากภาคเอกชนไทย ที่พึ่งพาตลาดส่งออกไปจีน ต่างตั้งข้อสังเกตไปในทิศทางเดียวกันว่า แม้จีนจะเผชิญปัจจัยลบด้านต่างๆ แต่ยังมั่นใจว่าการเติบโตจีดีพีของจีนปีนี้ไม่หลุดกรอบ 6% แน่นอน ดูจากปฎิกิริยารัฐบาลจีนอยู่นิ่งไม่ได้ จะเห็นชัดเจนว่ารัฐบาลจีนออกมาเคลื่อนไหว กระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นระยะ โดยเมื่อเร็วๆนี้ออกมาตรการปรับลดสัดส่วนการกันสำรองของสถาบันการเงิน(RRR) เป็นการออกมาประกาศลดการถือเงินสดสำรองตามกฏหมายของธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ที่ธนาคารพาณิชย์จะต้องถือไว้ในธนาคารของตัวเองโดยเก็บสำรองเอาไว้เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับธนาคารของตัวเอง ด้วยการประกาศลดRRR โดยธนาคารขนาดใหญ่จะต้องเก็บเงินสดสำรองไว้สัดส่วน 13.5% เช่นเดียวกันธนาคารขนาดกลางและขนาดเล็กต้องเก็บเงินสดสำรองไว้สัดส่วน 11.5% ธนาคาร ส่วนธนาคารในชนบทต้องเก็บเงินสดสำรองถือไว้ในธนาคารของตัวเอง 8%
ต่อเรื่องนี้ รศ.ดร. สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดี สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ กล่าวว่า ธนาคารพาณิชย์ต้องเก็บสำรองเอาไว้เผื่อมีคนมาถอน หรือมีปัญหาเอ็นพีแอล โดยให้แต่ละแบงก์พาณิชย์ลดการถือเงินสดสำรองลงมา 0.5% จากมาตรการดังกล่าว โดยเริ่มมีผลไปแล้วตั้งแต่วันที่ 16 กันยายนที่ผ่านมา
รศ.ดร. สมภพ มานะรังสรรค์
ส่วนผลที่เกิดขึ้นหลังจากที่มีการลดเงินสดสำรองตามกฏหมายของแต่ละแบงก์ คือ 3 ส่วนหลักที่เป็นเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไล่ตั้งแต่ 1.จะทำให้ภาพรวมธนาคารสามารถปล่อยกู้ได้มากขึ้น ประมาณ 126,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และคาดว่าจะลดลงอีก 0.5% (เป็นการลดครั้งที่ 4 ของปีนี้และเป็นครั้งที่ 8 ตั้งแต่เกิดสงครามการค้า) และก่อนถึงสิ้นปี2562 จะมีโอกาสลดลงอีก 0.5% ถ้ารวมการลดเงินสดสำรอง 2 ครั้งนี้ เท่ากับว่ารัฐจะอัดเงิน 240,000 กว่าล้านเหรียญสหรัฐฯไม่นับก่อนหน้านี้ และกว่า 240,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯนี้เท่ากับว่ามีมูลค่ากว่าครึ่งของจีดีพีประเทศไทยทั้งปี ก็จะทำให้จีนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ เพราะธนาคารจะปล่อยกู้ได้มากขึ้น
2.แบงก์ชาติจีนอัดฉีดเงินลงระบบโดยตรง ยกตัวอย่าง เช่น ปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้กับแบงก์พาณิชย์ในอัตรา 2.55% ดังนั้นการอัดฉีดแบบนี้แสดงว่าจีนยังมีเงินสดสำรองในธนาคารพาณิชย์อีกจำนวนมาก โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายของจีนอยู่ที่ 2.55 % เทียบได้กับอัตรา อัตรา RP ของไทย ดังนั้นจีนยังลดดอกเบี้ยได้อีกทั้งดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์และดอกเบี้ยจากแบงก์ชาติเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนับจากนี้ไป
3.รัฐบาลท้องถิ่นจีนกำลังเตรียมออกพันธบัตรพิเศษเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในเร็วๆนี้ เพื่อลงทุนก่อสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐาน และอัดฉีดงบให้คนหันมาเรียนด้านอาชีวะมากขึ้น เพราะจีนขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะระดับกลาง
จากมาตรการ 3 ข้อข้างต้นนี้ จะเป็นไม้เด็ดของจีนในการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อนำไปสู่มาตรการกระตุ้นกำลังซื้อในประเทศจีน และกระตุ้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในจีน
ดังนั้นภาพรวมโค้งท้ายปี 2562 จีดีพีจีนไม่น่าจะหลุดเป้า หรือ ที่จีนตั้งเป้าว่าการเติบโตของจีดีพีจีนปีนี้จะไม่ต่ำกว่า 6% เทียบกับจีดีพีของโลกที่เติบโต 3% และจีดีพีของไทยอยู่ที่ 3% บวก-ลบ ก็ถือว่าจีดีพีจีนเติบโตมากกว่าจีดีพีโลก 1 เท่าตัว นับว่าเป็นการงัด 3 ไม้เด็ดออกมาปลุกเศรษฐกิจจีนให้โงหัวขึ้น แม้ไ่ม่พุ่งทะยานแบบที่ผ่านมาแต่ยังคงรักษาระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ได้ในสถานการณ์ที่ถูกรุมเร้าด้วยปัจจัยแวดล้อมโลก!
คอลัมน์ : Let Me Think
โดย : TATA007