JKN ทรานฟอร์มธุรกิจ ตั้งเป้าปี 63 ขึ้นเป็นผู้นำคอนเทนต์เอเชีย
JKN เดินหน้าทรานฟอร์มธุรกิจพร้อมชูกลยุทธ์ 3 ด้าน ตั้งเป้าปี 63 ขึ้นเป็นผู้นำจัดจำหน่ายคอนเทนต์ในเอเชีย คาดสิ้นปีปิดรายได้กว่า 2 พันล้านบาทหลังนำคอนเทนต์ไทยตีตลาดเกาหลี
นายจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ JKN เปิดเผยว่า สำหรับแผนธุรกิจของ JKN ในช่วงที่ผ่านมาและปัจจุบันได้วางแนวทางการเปลี่ยนแปลง หรือ Transfrom ธุรกิจเป็น 3 กลยุทธ์หลัก คือ 1. Transform Yourself การปรับเปลี่ยนตัวเองมีภาพลักษณ์ภายนอกเป็นผู้หญิงมากขึ้นเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้สตรีข้ามเพศซึ่งนับเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ CSR ของ JKN 2.Transform Business พัฒนาธุรกิจด้านคอนเทนต์ เทคโนโลยี และแพลตฟอร์มดิจิทัลให้มีความทันสมัยตอบโจทย์ผู้ชมปัจจุบัน 3.Transform Country การเชื่อมโยงคอนเทนต์ระหว่างประเทศ โดยปีนี้เป็นต้นไปคอนเทนต์ละครไทยจะถูกนำไปออกอากาศต่างประเทศ เช่น เกาหลี อาเซียน อื่นๆ
ขณะเดียวกันในปี 2563 บริษัทตั้งเป้าขึ้นเป็นผู้นำด้านจัดจำหน่ายคอนเทนต์ในภูมิภาคเอเชีย อีกทั้งแผนงานการทำตลาดในปีนี้ บริษัทยังได้เตรียมเข้าร่วมงานเทศกาลภาพยนตร์ MIPCOM ที่ประเทศฝรั่งเศส และ งาน ATF ที่ประเทศสิงคโปร์ โดยนำซีรีส์อินเดีย และละครไทยจากช่อง 3 รวมกันมากกว่า 100 เรื่อง และสารคดีพระไตรปิฎกคำสอนมีชีวิต เพื่อออกบูธจำหน่ายแก่ผู้ที่เข้าร่วมงาน ทั้งนี้มีการนำศิลปินดารานักแสดงจากช่อง 3 ไปร่วมทำกิจกรรมการตลาดสร้างกระแสให้แก่คอนเทนต์ที่นำไปจำหน่ายภายในงานนี้ ซึ่งหากธุรกิจเป็นไปตามแผนที่วางไว้บริษัทเชื่อว่าจะส่งผลให้ปีนี้บริษัทปิดรายได้กว่า 2,000 ล้านบาท
สำหรับในช่วงปีที่ผ่านมา JKN ได้รุกตลาดไปยังกลุ่มประเทศภูมิภาคอาเซียน โดยที่ผ่านมาได้การตอบรับที่ดีจากผู้ชมซีรีส์อินเดียและฟิลิปินส์อย่างมากทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ CLMV ได้แก่ กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมาร์ และเวียดนามที่ซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์ดังกล่าวเพื่อไปออกอากาศอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน JKN ก็ประสบความสำเร็จจากการเป็นตัวแทนจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ซีรีส์ละครไทยจากช่อง 3 นำไปจัดจำหน่ายในต่างประเทศ
“ด้วยมาตรฐานการผลิตคุณภาพสูง เทียบเท่าระดับสากล ผู้ชมต่างประเทศจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมไทย อาหาร เครื่องแต่งกายและแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามมากมายในประเทศไทยผ่านคอนเทนต์ละครไทย ซึ่งปัจจุบันถูกนำไปออกอากาศแล้วในหลายประเทศ เช่น ฟิลิปปินส์ บรูไน สิงคโปร์ มาเลเซีย ฯลฯ และล่าสุดที่ประเทศเกาหลีใต้ ส่งผลให้มีคอนเทนต์ลิขสิทธิ์ที่รอส่งมอบรวมมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท”